ขออนุญาตเห็นต่างหน่อยนะต้น
๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๖๗
********************************
คลิป : ถ้าพระรัตนตรัยไม่สมบูรณ์ เจริญศีล สมาธิ หรือปัญญาก็ไม่ได้เข้ามาอยู่ในส่วนของศาสนานี้
พระ อ. ต้น : ถ้าพระรัตนตรัยไม่สมบูรณ์ เจริญศีล สมาธิ หรือปัญญาก็ไม่ได้เข้ามาอยู่ในส่วนของศาสนานี้ ความเป็นโสดาบันก็คือ สร้างทิฐิให้สมบูรณ์ คือตั้งความเห็นให้สมบูรณ์ ทิฐิสัมปันโน คือเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยทิฐิ ต้องตั้งทิฐิก่อน ที่นี้เขานับโสดาปฎิมรรคเขานับที่ไหน เขานับ ตั้งแต่มีพระรัตนตรัย ต้องเห็นพระรัตนตรัยให้ถูกก่อน ถ้าเห็นพระรัตนตรัยผิด ไม่ได้นับเป็นโสดาปฎิมรรค ถ้ายึดถือรัตนตรัยในรูปเคารพวัตถุมงคล เครื่องรางของขลัง วัตถุปลุกเสกสิ่งศักดิ์อย่างอื่นอยู่เนี่ย ยังไม่ใช่โสดาปฎิมรรค อยากจะไปสู่โสดาปฎิมรรคแค่ไหนก็ตามก็ยังไปไม่ได้ ยังไม่เข้ามาสู่หลักการในอริยมรรคเลย แต่ถ้ามองเห็นพระรัตนตรัยอย่างถูกต้องแล้ว นั่นคือโสดาปฎิมรรค เพราะเขานับความเป็นพระโสดาปฎิมรรคเริ่มตั้งแต่เข้าถึงรัตนตรัยอย่างถูกต้อง จากพระรัตนตรัยเนี่ยจนเข้าไปถึงการละสักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลพพตปรามาส ถ้ายังละไม่ได้ก็ยังมีอยู่ในส่วนของโสดาปฎิมรรคที่กำลังสะสมอินทรีย์ไปเรื่อยๆ สะสมกำลังแห่งอริยมรรคไปเรื่อยๆ จนละได้แล้วนั้นจะเป็นโสดาปฎิผล การตั้งความเห็นให้ถูกต้องยังยาก อันนี้เราเล่นไปเจริญสติ ไปเริ่มเจริญดูจิต ไปเริ่มทำสมาธิ ไปทิฐิเสียหาย แล้วจะไปทำกุศลธรรม คุณงามความดีใดๆ ก็ไม่ตั้งมั่น เพราะศาสนานี้เจริญงอกงามด้วยการเข้าถึงรัตนตรัย เข้าถึงรัตนตรัยก่อนให้มั่นคงก่อน จึงจะเจริญงอกงามไปตามพระรัตนตรัยได้
—————- จบคลิป ————–
หมายเหตุ : “การเข้าถึงพระรัตนตรัย” ตามคำสอนของพระอาจารย์ต้นแห่งสำนักธรรมนาวา คือ การท่อง พุทโธ เม นาโถ ย้ำๆ ซ้ำๆ อยู่เสมอจนพระรัตนตรัยแนบกับจิต หรือจิตเชื่อมต่อกับพระรัตนตรัย คือ จิตสามารถท่อง พุทโธ เม นาโถ ได้เองโดยอัตโนมัติ
********************************
เห็นต่างนะต้น
ต้นลองถ่างตาอ่านหรือค้นหาความจริงที่มีมาแล้วแต่อดีตดูก่อนสิว่า สิ่งที่ต้นสำรอกพ่นใส่รดหูสาวกของตนน่ะ มันตรงกับสิ่งที่พระบรมศาสดาท่านสอนไหม
ต้นเอ๋ยต้น อวิชชาเต็มกะโหลกแล้วยังอวดฉลาด ช่างน่าสงสารสาวกของต้นเสียจริงๆ
ทีนี้ต้นลองมาดูซิว่า การเข้าถึงพระรัตนตรัยของพระพุทธสาวกที่มีมาแล้วในอดีต เขาต้องนั่งท่องคำว่า พุทโธ เม นาโถ ย้ำๆ ซ้ำๆ อย่างที่ต้นสอนหรือไม่
********************************
ตปุสสะ-ภัลลิกะ
เอตทัคคะในฝ่ายผู้ถึงสรณคมก่อนใครๆ ในโลก
เมื่อพระพุทธองค์ทรงตรัสรู้พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณใหม่ ๆ ณ ภายใต้ร่มพระศรีมหาโพธิ์แล้ว ประทับเสวยวิมุตติสุขในสถานที่ต่าง ๆ รวม ๗ แห่ง ๆ ละ ๗ วัน และในสัปดาห์ที่ ๗ อันเป็นสัปดาห์สุดท้าย พระพุทธองค์ประทับเสวยวิมุตติสุขที่ภายใต้ร่มไม้เกตุ อันได้นามว่า “ราคายตนะ” นั้น
ขณะนั้น สมเด็จพระอมรินทราธิราช ทรงดำริว่า “พระผู้มีพระภาค ตั้งแต่ตรัสรู้แล้วนับได้ ๔๙ วันถึงวันนี้ พระองค์ยังมิได้เสวยพระกระยาหารและถ่ายพระบังคนเลย สมควรที่พระองค์จะเสวยพระกระยาหารและถ่ายพระบังคน” จึงนำผลสมออันเป็นทิพยโอสถมาจากเทวโลก เข้าไปถวายพระพุทธองค์ทรงรับมาเสวยแล้วทำสรีรกิจลงพระบังคน แล้วท้าวสหัสนัยน์ก็อยู่เฝ้าถวายการปฏิบัติพระพุทธองค์ด้วยกิจต่าง ๆ มีถวายน้ำบ้วนพระโอษฐ์ เป็นต้น
ครั้งนั้น มีพ่อค้าพานิชสองพี่น้องชื่อ ตปุสสะ กับ ภัลลิกะ นำสินค้าบรรทุกกองเกวียนเดินทางมาจากอุกกละชนบทผ่านมาทางนั้น ด้วยอานุภาพแห่งเทวดา องค์หนึ่งซึ่งเคยเป็นญาติกับสองพ่อค้าในอดีตชาติ เห็นสองพ่อค้าแล้วคิดว่า “พ่อค้าทั้งสองนี้ พากันลุ่มหลงวนเวียนอยู่ในสังสารวัฏสิ้นกาลช้านาน ควรที่เราจะสงเคราะห์ให้ได้รับประโยชน์สุขอันอุดม” จึงบันดาลให้โคพาเกวียนไปผิดทางแล้วแสดงตนให้ปรากฏ กล่าวชี้แนะให้สองพ่อค้านำสัตตุก้อนสัตตุผงอันเป็นเสบียงทาง เข้าไปถวายพระผู้มีพระภาค สองพ่อค้าก็ปฏิบัติตามน้อมนำข้าวสัตตุก้อนสัตตุผลเข้าไปถวาย พบพระผู้มีพระภาคประทับอยู่ภายใต้ร่มไม้เกตุ ประกอบด้วยทวัตติงสมหาปุริสลักษณะ มีพระรัศมีรุ่งเรืองไม่เคยพบเห็นมาก่อน จึงคิดว่า “พระพุทธเจ้าเกิดขึ้นแล้วในโลก ซึ่งนับว่าเป็นบุญลาภอันประเสริฐของพวกตนยิ่งนักแล้วเข้าไปกราบทูลว่า
“ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ขอพระองค์จงทรงอนุเคราะห์รับบิณฑบาตไทยทาน เพื่อประโยชน์สุขแก่ข้าพระพุทธเจ้าทั้งสอง ตลอดกาลนานเถิด”
พระผู้มีพระภาคทรงดำริว่า “บาตรของตถาคตได้หายไปก่อนวันตรัสรู้ ต้องรับข้าวมธุปายาสของนางสุชาดาด้วยพระหัตถ์ หลังจากนั้นมายังมิได้เสวยกระยาหารเลย บัดนี้สองพานิชนำอาหารมาถวาย ตถาคตจะได้บาตรมาแต่ที่ไหน”
เมื่อพระพุทธองค์ทรงดำริอย่างนั้น ทันใดนั้น ท้าวจตุโลกบาลทั้ง ๔ ได้นำบาตรศิลาสีเขียวองค์ละใบ มาจากทิศทั้ง ๔ น้อมเข้าไปถวาย
พระผู้มีพระภาค ทรงดำริว่า “บรรพชิตรูปหนึ่งไม่ควรมีบาตรเกินกว่า หนึ่งใบ” จึงทรงอธิษฐานให้บาตรทั้ง ๔ ใบนั้นประสานเข้าเป็นใบเดียวกันแล้วทรงรับข้าวสัตตุก้อนสัตตุผลของสองพานิชด้วยบาตรนั้น
เมื่อเสร็จภัตกิจแล้ว นายพานิชสองพี่น้องกราบทูลแสดงตนเป็นอุบาสก ขอถึงพระพุทธกับพระธรรมเป็นสรณะ ที่พึ่งที่ระลึกตลอดชีวิต
เนื่องด้วยขณะนั้นยังไม่มีพระสงฆ์เกิดขึ้นในโลกอุบาสกทั้งสองจึงได้นามว่า “เทววาจิกอุบาสก” นับเป็นอุบาสกคู่แรกและคู่เดียวในโลก ผู้ถึงรัตนะสองประการก่อนที่อุบาสกทั้งสองจะกราบทูลลากลับไปนั้น ได้ทูลขอสิ่งอันเป็นปูชนียวัตถุ เพื่อนำไปประดิษฐานเป็นที่สักการะบูชายังบ้านเมืองของตนสืบไป
พระพุทธองค์ ทรงยกพระหัตถ์ขึ้นลูบพระเศียร พระเกษา ๘ เส้นติดพระหัตถ์ออกมาจึงประทานให้แก่สองพ่อค้านั้นตามประสงค์
ครั้นเมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จไปยังกรุงพาราณสี ประกาศพระธรรมจักร แล้วประทับอยู่ในพระนครราชคฤห์โดยลำดับ ตปุสสะและภัลลิยะจึงเข้าไปสู่พระนครราชคฤห์ เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วถวายบังคม นั่ง ณ ส่วนข้างหนึ่ง.
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงธรรมแก่เขาทั้งสอง ในพ่อค้าทั้งสองนั้น ตปุสสะตั้งอยู่ในโสดาปัตติผลแล้วได้เป็นอุบาสกอย่างเดียว ส่วนภัลลิยะบวชแล้วได้เป็นผู้มีอภิญญา ๖.
พ่อค้าทั้งสองได้รับการยกย่องจากพระบรมศาสดา ในตำแหน่งเอตทัคคะ เป็นผู้เลิศกว่าอุบาสกทั้งหลาย ในฝ่าย ผู้ถึงสรณะก่อน
********************************
อีกทั้งบุคคลที่บรรลุธรรมเป็นพระอริยเจ้าในอดีตหลากหลายชนชั้นก็ยังไม่เข้าถึงซึ่งพระรัตนตรัยครบทั้งทั้ง ๓ เลยด้วยซ้ำ เพียงแต่เขามีศรัทธา แล้วฟังธรรม ปฏิบัติธรรม หรือไม่ก็ใฝ่รู้ ใฝ่เรียน อยากลอง จึงมาฟังธรรมจากองค์พระบรมศาสดา หรือพระพุทธสาวก จนสามารถบรรลุธรรมได้ อย่างเช่น
พระเจ้าสุทโธทะนะ,พระเจ้ามหานามะ, ยสกุลบุตร, ภัททชิกุมาร, สันตติมหาอำมาตย์, พระพาหิยะ, จูฬอนาถบิณฑิกะ, ปุณณเศรษฐี, จิตตคหบดี, สันธานคหบดี, อุคคเศรษฐี, หมอชีวกโกมารภัจ, คนเลี้ยงโคชื่อนันทะ, ชาวหมู่บ้านส่วยชื่อสาธุกะ
พระนางเขมาเถรี พระภัททากุณฑลเกสาเถรี, นางสิริมา, นางอุตตราธิดาของปุณณเศรษฐี, นางอิสิทัตตะ
บุคคลเหล่านี้ไม่มีใครผู้ใดท่อง พุทโธ เม นาโถ อย่างที่ต้นสอนเลยสักครั้งเดียว แต่ทำไมเขาถึงบรรลุธรรมได้ อีกทั้งก็ยังมิได้ปฏิบัติธรรมตามที่พระพุทธองค์ทรงตรัสสอน ก็บรรลุธรรมแล้ว
เช่นนี้แล้วต้นยังจะแถด แถไปอธิบายว่าอย่างไร
พุทธะอิสระ
——————————————–