เห็นต่างอีกสักหน่อยนะต้น (ตอนที่ ๑)
๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๖๗
**************************
คลิป : พระ อ. ต้น ตอบคำถาม “มีแฟนแล้วคิดถึงคนอื่นบาปมั้ย?”
พิธีกร : คำถามว้าวุ่นจากคนมีแฟนค่ะพระอาจารย์ คำถามก็คือ ถ้ามีแฟนอยู่แล้วแต่เรารู้สึกดีกับคนอื่น หรือคิดถึงแฟนเก่ามันจะผิดมั้ยหรือมันจะบาปมั้ยคะพระอาจารย์?
พระ อ. ต้น : สำหรับทางจิตใจ พระพุทธศาสนาไม่ได้บัญญัติคำว่าบาปในระหว่างนั้น แต่บัญญัติเมื่อนำไปสู่การละเมิดแล้วจึงจะเป็นบาปในทางพระพุทธศาสนา มันเป็นขั้นก่อเกิดของเรื่องราวที่จะนำไปสู่การกระทำ เมื่อยังไม่ถึงขั้นของการกระทำ อาจจะมีบาปเล็กๆ บาปอ่อนๆ
—————- จบคลิป ————–
ขอคิดต่างนะจ๊ะต้น
พระบรมศาสดาทรงตรัสสอนไว้ว่า
มโนปุพฺพงฺคมา ธมฺมา มโนเสฏฺฐา มโนมยา มนสา เจ ปสนฺเนส ภาสติ วา กโรติ วา ตโต นํ สุขมเนฺวติ ฉายาว อนุปายินี.
” ธรรมทั้งหลาย มีใจเป็นหัวหน้า มีใจเป็นใหญ่ สำเร็จแล้วด้วยใจ ถ้าบุคคลมีใจผ่องใสแล้ว พูดอยู่ก็ดี ทำอยู่ก็ดี ความสุขย่อมมีแก่เขา ดุจดังเงาติดตามตัวเพราะเหตุนั้น “
อีกทั้งพระพุทธองค์ยังทรงตรัสสอนเรื่องทุจริต ๓ อย่างเอาไว้ ซึ่งปรากฎอยู่ในพระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๙ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๑ สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค ทุจริตสูตร ว่าด้วยทุจริต-สุจริต
ครั้งนั้น ภิกษุรูปหนึ่งเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ฯลฯ แล้วกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอประทานพระวโรกาส ขอพระผู้มีพระภาคทรงแสดงธรรมโดยย่อแก่ข้าพระองค์ ซึ่งข้าพระองค์ได้ฟังแล้ว จะพึงเป็นผู้เดียว หลีกออกจากหมู่ ไม่ประมาท มีความเพียร มีใจเด็ดเดี่ยวอยู่เถิด.
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุ เพราะฉะนั้นแหละ เธอจงชำระเบื้องต้นในกุศลธรรมให้บริสุทธิ์เสียก่อน ก็อะไรเป็นเบื้องต้นของกุศลธรรม? เธอจักละกายทุจริต เจริญกายสุจริต จักละวจีทุจริต เจริญวจีสุจริต จักละมโนทุจริต เจริญมโนสุจริต.
ดูกรภิกษุ เมื่อใดแล เธอจักละกายทุจริตเจริญกายสุจริต จักละวจีทุจริตเจริญวจีสุจริต จักละมโนทุจริตเจริญมโนสุจริต เมื่อนั้น เธอพึงอาศัยศีล ดำรงอยู่ในศีลแล้ว เจริญสติปัฏฐาน ๔ สติปัฏฐาน ๔ เป็นไฉน? เธอจงพิจารณาเห็นกายในกายอยู่ … ในเวทนาอยู่ …ในจิตอยู่ … จงพิจารณาเห็นธรรมในธรรมอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสีย เมื่อใดแล เธอจักอาศัยศีลดำรงอยู่ในศีลแล้ว เจริญสติปัฏฐาน ๔ เหล่านี้ อย่างนี้ เมื่อนั้น เธอพึงหวังความเจริญในกุศลธรรมได้ตลอดคืนหรือวันที่จักมาถึง ไม่มีความเสื่อมเลย ฯลฯ
กาลต่อมา ภิกษุรูปนั้น ได้ปฏิบัติตามที่พระพุทธองค์ทรงสอน จึงได้บรรลุพระอรหันต์ซึ่งเป็นหนึ่งในจำนวนพระอรหันต์ทั้งหลายที่ได้สดับพระธรรมเทศนานี้
ต้นเห็นไหมหละว่า พระบรมศาสดาทรงเน้นให้เห็นว่า สิ่งใดควรทำก่อน ควรทำทีหลัง สิ่งใดเป็นเบื้องต้น และสิ่งใดเป็นประธานของกุศลทั้งปวง
ซึ่งจะแตกต่างจากสิ่งที่ต้นสอนสาวก ประมาณว่า แค่ใจคิดอกุศลถือเป็นความผิดบาปเล็กๆ บาปอ่อนๆ เช่นนั้นก็เท่ากับสอนให้สาวกตั้งตนอยู่ในความผิดพลาด มัวเมาประมาท ซึ่งมันก็จะค้านกับสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงว่า
ปมาโท มจฺจุโน ปทํ
ความประมาทเป็นหนทางแห่งความตาย
*******************
ยาวเทว อนตฺถาย ญตฺตํ พาลสฺส ชายติ
หนฺติ พาลสฺส สุกฺกํสํ มุทฺธํ อสฺส วิปาตยํ
ความรู้เกิดแก่คนพาล ก็เพียงเพื่อความฉิบหาย, มันทำสมองของเขาให้เขว, ย่อมฆ่าส่วนที่สะอาดขาวของคนพาลเสียสิ้น
*******************
โปรดติดตามตอนต่อไปนะจ๊ะ
เจริญธรรม
พุทธะอิสระ
——————————————–