จากคลิป : ทำสมาธิอย่าหวังได้นิพพาน พระพุทธเจ้าตรัสรู้ได้ด้วยการนั่งคิดอยู่ทั้งคืน

0
18

๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๗

คลิป : ทำสมาธิอย่าหวังได้นิพพาน พระพุทธเจ้าตรัสรู้ได้ด้วยการนั่งคิดอยู่ทั้งคืน

ที่มา : https://www.tiktok.com/@dhammanava_02/video/7382774771903155463

พิธีกร : ขออนุญาตคําถามต่อไปเลยนะเจ้าคะพระอาจารย์ จากเรื่องนิพพานเหมือนกันเจ้าค่ะพระอาจารย์ คุณสุชาดาถามว่าการนิพพานนั้นจะเกิดจากการนั่งสมาธิ หรือรู้แจ้งในตอนที่นั่งสมาธิเท่านั้นรึเปล่าคะ?

พระ อ.ต้น : ไม่ใช่อ่ะ พระพุทธเจ้านั่งคิดอยู่ทั้งคืน คิดอยู่ว่าอะไรเป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร สังขารเป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณวิญญาณเป็นปัจจัยให้เกิด

คือคิดอยู่อย่างนี้กลับไปกลับมาๆ คิดจนสว่าง นั่งคิดอยู่ใต้ต้นโพธิ์ทั้งคืน ไม่ใช่นั่งสงบนะ ไอ้ที่เรานั่งเห็นแต่ภาพน่ะ ไม่รู้หรอกว่ากระบวนการแห่งความคิดพระองค์คิดอะไรอยู่ในเวลานั้น

ถ้าเราจะมาหวังเอานั่งสงบแล้วจะบรรลุตรัสรู้เนี่ย โอ๊ว..มันห่างไกล ห่างไกลมาก เราไม่รู้ว่าพระศาสดาของเรานั่งพิจารณาอยู่ทั้งคืน พิจารณาก็คิดนั่นแหละ ถ้าไม่คิดมันจะพิจารณาได้ยังไงใช่มั้ยล่ะ แล้วทีนี้เรามานั่งสมาธิเพื่อดับความคิด

เสียหายมั้ย? เส้นทางศาสนาที่จะต้องดําเนินไปตามหลักการที่ถูกต้องก็ไม่ได้ดําเนินไป เมื่อไม่ได้ดําเนินไป

มันก็ไม่ได้รับประโยชน์จริงๆ ในทางศาสนาที่ควรจะได้รับ ฉะนั้นพระศาสดาเรานั่งพิจารณาอยู่ทั้งคืน และเป็นความคิดที่ไม่มีใครเคยคิดในยุคนั้นมาก่อน เป็นความคิดที่ฉีกแนว ฉีกหนีกรอบทางความคิดทั้งหมด หนีออกจากรูปแบบการปฏิบัติทั้งหลายทั้งปวงในเวลานั้น ทําไมพระองค์ถึงคิดนอกกรอบขนาดนั้น

ก็ทดลองทํามาหมดทุกวิธีแล้ว

อดอาหารเหรอ ก็เอาซะจนปัญจวัคคีย์ทั้ง 5 ทําตามไม่ได้เลย

ฌานเหรอก็เทียบเท่ากับอุทกดาบสผู้เป็นอาจารย์สูงสุดในเวลานั้น

อะไรล่ะ ที่มีอยู่อ่ะทดลองมาหมดแล้วมันไม่บรรลุ มันไม่ตรัสรู้

เอ๊ะ!! มันตรัสรู้ยังไง มันต้องมีสิ มันต้องมีที่ตรัสรู้ วิธีการอื่นไม่ตรัสรู้ มันต้องมี มันต้องมีแน่นอน คิดหนีออกจากทุกวิธีการที่มีอยู่ในเวลานั้นเลย

ก็เกิดบุพเพนิวาสานุสสติญาณ คิดไปในอดีตชาติหนหลัง ที่เกิดที่แรกที่ไหน ไม่เห็น ก็ไม่เป็นไร ไม่รู้ จตุตถฌานก็บอก เอ้า!! ที่สิ้นสุดล่ะ เกิดมาแล้วไม่รู้ว่าที่เกิดแต่เกิดมาแล้วจะสิ้นสุดยังไง ก็มองเห็นการจุติอุบัติของสัตว์

ไม่มีใครหนีออกไปจาก 31 ภพภูมินี้เลย เอ้!! แล้วจะออกไปยังไง ก่อนมาเกิดก็ไม่รู้ จะสิ้นสุดการเกิด ยุติ ณ.ที่ไหนก็ไม่รู้

อ๋อ!! ไอ้ความไม่รู้นี้แหละปัญหานี้ อวิชชา ปัจจยา สังขารา เลยเนี่ย ไอ้ความไม่รู้นี้ไปสร้างการปรุงแต่ง สร้างเรื่องสร้างราว สร้างสิ่งต่างๆ นําไปสู่การเวียนว่ายตายเกิดโดยไม่หยุดไม่หย่อนเนี่ยแหละ อวิชชานี่แหละเป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร สังขารเป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณ..คิด เอ๊ะ…แล้วมันใช่จริงรึเปล่า

ใช่อวิชชาตัวนี้หรือเปล่า ไม่รู้ ไม่รู้อะไรทีนี่ ไม่รู้สิ่งที่เรียกว่าทุกข์ ไม่รู้เหตุของทุกข์ ไม่รู้ความดับทุกข์ ไม่รู้ข้อปฏิบัติที่จะดับทุกข์ได้ ทบกลับไป คิดมาคิดไป คิดไปคิดมา ย้ำๆ ซ้ำๆ ย้ำๆ ซ้ำๆ ย้ำๆ ซ้ำๆ จนแน่นอนใจว่าอวิชชานี้เอง เมื่อมันดับแล้วกระบวนการแห่งการสืบต่อแห่งภพก็ดับ ความสิ้นทุกข์ทั้งหลายทั้งปวงก็ยุติเพียงเท่านี้….คิดอยู่ทั้งคืน

พิธีกร : ไม่ได้นั่งนิ่งๆ ไม่ได้นั่ง….

พระ อ. ต้น : ใช่…นั่งนิ่งๆ ก็เห็นนั่งกันมานาน บางคนนั่งมา 30 ปี 40 ปี ก็ไม่ได้บอกว่าเข้าถึงธรรมเป็นที่สิ้นทุกข์อะไรสักอย่างหนึ่ง ก็บอกสงบ สงบอยู่นั่นแหละ เอาแต่สงบอยู่นั่นแหละ คิดว่ามันจะดับทุกข์ได้หรือสงบน่ะ ใครจะไปสงบเท่ากับอุทกดาบส สงบในระดับสมาบัติแปด แต่ก็ยังตกอยู่ในวงจรแห่งวัฏจักรอยู่ ใช่ไหมล่ะ

พิธีกร : สงบที่ว่าสมาบัติแปด สงบขนาดไหน

พระ อ. ต้น : สงบชั้นลึกในอรูปฌาน ไม่ได้เกี่ยวกับรูปฌาน ในอรูปฌาน เป็นกุศลกรรมอันสูงสุดในเวลานั้นที่บุคคลเข้าถึงได้ในฐานะของบุคคลผู้ทำฌาน ก็ไปจุติอยู่ที่พรหมโลกในอรูปพรหม มีอายุสูงสุดในพรหมโลกนั้นแปดหมื่นกัปป์ พอฌานเสื่อมก็ตกจากพรหมโลก ก็นำมาสู่การเวียนว่ายตายเกิดอีก

พิธีกร : ขนาดได้ฌานแปดแล้ว

พระ อ. ต้น : แล้วพระพุทธเจ้าก็ทำได้เทียบเท่ากับอุทกดาบสนั้น แต่พระองค์ก็บอกว่ายังไม่ใช่ที่สิ้นทุกข์ ก็ยังขมีขมันทำกันอยู่ทั้งๆ ที่ไม่ใช่ที่สิ้นทุกข์ ก็ไม่เป็นไร อยากทำกันก็ทำไป

—————- จบคลิป ————–

เห็นต่างนะจ๊ะ

เลอะเทอะใหญ่แล้วนะต้น มีพระพุทธพจน์และพระไตรปิฏกเล่มไหนบ้างที่พระพุทธเจ้าทรงสอนให้ปฏิเสธการนั่งสมาธิ ต้นลองยกมาให้ดูหน่อย

หากการนั่งสมาธิแล้วมันไม่เป็นเหตุให้บรรลุธรรมใดๆ ได้ พระพุทธเจ้าจักทรงสอนเรื่องสัมมาสมาธิเอาไว้ในมรรคมีองค์แปดได้อย่างไร

อีกทั้งยังมีพระบาลีรองรับถึงคุณแห่งสมาธิเอาไว้ว่า

สมาธิปริภาวิตา ปญฺญา มหปฺผลา โหติ มหานิสํสา

ปัญญา มีผลมาก มีอานิสงส์ใหญ่ เพราะเกิดจาก การฝึกอบรมสมาธิ

แม้แต่สิ่งที่อุปัชฌาย์ของต้นสอนเอาไว้ในโบสถ์ตอนที่ต้นขอบวชเรื่องสิ่งที่ภิกษุต้องศึกษาเรียกว่า สิกขา มี ๓ อย่าง คือ ศีล สมาธิ ปัญญา ต้นลืมเสียแล้วหรือ หรือว่าดังแล้วอวยตนเองเป็นโสดาแล้วเลยลืมคำสอนของอุปัชฌาย์

เห็นคุยโว อวดอ้างว่าตนเองเป็นพระอริย ต้นไม่รู้หรือว่า การบรรลุธรรมจนเป็นพระอรหันต์มี ๔ ประเภท ได้แก่

๑. พระอรหันต์สุกขวิปัสสโก พระอรหันต์ประเภทแรกนี้คือผู้ที่จิตหลุดพ้นจากกิเลสสิ้นเชิง อำนาจแห่งปัญญาซึ่งก็ต้องมีสมาธิเป็นพื้นฐานในระดับอุปจารสมาธิ แต่ไม่ประกอบด้วยฤทธิ์หรือมีอภิญญาใดๆ เลย มีแต่จิตหลุดพ้น และไม่อาจมีทิพจักขุ คือไม่มีตาทิพย์ ไม่เห็นนรกสวรรค์ ไม่เห็นภพภูมิอันลี้ลับที่ท่านพรรณนาไว้ แต่คุณธรรมภายในคือความบริสุทธิ์สะอาดภายในดวงจิต ด้วยอำนาจแห่งปัญญาของท่าน ซึ่งก็ไม่ด้อยกว่าพระอรหันต์ประเภทอื่นแต่อย่างใด

๒. พระอรหันต์เตวิชโช พระอรหันต์ประเภทที่สองนี้ เป็นผู้มีคุณวิเศษประดับ คือนอกจากจะบรรลุธรรมชั้นสูงสุดแล้วยังประกอบด้วยวิชชาสามคือ ปุพเพนิวาสานุสติญาณ ความรู้ในการระลึกชาติก่อนได้ จุตูปปาตญาณ การรู้ว่าคนหรือสัตว์ตายแล้วไปไหน หรือรู้ว่าก่อนมาเกิดเป็นคนหรือสัตว์ในชาตินี้เคยเกิดเป็นอะไรมาก่อน และอาสวักขยญาณ ความรู้ในการสิ้นอาสวะกิเลส นี้คือพระอรหันต์เตวิชโช

๓. พระอรหันต์ฉฬภิญโญ พระอรหันต์ผู้บรรลุอภิญญาหก พระอรหันต์ประเภทนี้ได้คุณวิเศษพิเศษยิ่งกว่าประเภทที่สองข้างต้น กล่าวคือ เมื่อบรรลุธรรมขั้นสูงสุด ดับกิเลสเป็นสมุจเฉทปหานแล้ว ยังได้คุณวิเศษอย่างอื่นด้วยดังนี้คือ

๑. อิทธิวิธี แสดงฤทธิ์ได้ ย่นระยะทางได้ เดินบนน้ำได้ หายตัวได้ หรือเนรมิตสิ่งต่างๆได้
๒. ทิพพโสต ได้หูทิพย์
๓. เจโตปริยญาณ รู้ใจผู้อื่น
๔. ปุเพนิวาสานุสติญาณ ระลึกชาติก่อนๆได้
๕. ทิพพจักขุ มีตาทิพย์
๖. อาสวักขยญาณ ญาณหรือความรู้ในการสิ้นอาสวะกิเลส

พระอรหันต์ฉฬภิญโญ คือบรรลุอภิญญาหกนี้ มีอานุภาพมากในการสร้างความเลื่อมใสศรัทธาให้แก่ผู้คน เรียกกันโดยทั่วไปว่า “พระผู้ทรงอภิญญา” พระอรหันต์ประเภทนี้ส่วนใหญ่ไม่ค่อยอยู่ปะปนคลุกคลีกับผู้คน เพราะปุถุชนจิตที่มืดมัวด้วยกิเลสอาจล่วงเกินท่านได้ง่าย จะเกิดบาปกรรมแก่พวกเขาโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เพราะจิตของท่านมักทรงอยู่ในฌานสมาบัติ ไม่ค่อยรับรู้สมมุติหรือกฎเกณฑ์ของสังคมชาวโลก คนจะไม่เข้าใจเพราะท่านมักทำอะไรแผลงๆ ท่านจึงมักหลีกเร้นอยู่ในป่า ในถ้ำ หลีกเร้นจากผู้คน เมื่อมีเหตุการณ์สำคัญในการจรรโลงพระศาสนา ท่านจึงจะออกมาช่วยเหลือศาสนาในมิติต่างๆ

๔. พระอรหันต์ปฏิสัมภิทัปปัตโต พระอรหันต์ประเภทที่สี่นี้คือพระอรหันต์ชั้นยอด เป็นผู้บรรลุพระอรหันต์แล้ว มีความแตกฉานในอรรถในธรรม สามารถแสดงธรรมให้ผู้อื่นได้เข้าถึงธรรมหรือบรรลุตามได้ เป็นการสืบทอดพระศาสนาอย่างแท้จริง พระพุทธองค์จึงทรงยกย่องว่าเป็นพระอรหันต์ที่ยอดเยี่ยมกว่าพระอรหันต์ทั้งปวง แต่ก็เป็นประเภทที่หาได้ยากและมีน้อยมากที่จะมีพระอรหันต์ประเภทปฏิสัมภิทัปปัตโต

พระอรหันต์ที่บรรลุอภิญญาณเหล่านี้ต้นเคยได้ศึกษามาบ้างไหม หรือว่าต้นจะไม่นับรวมว่าเป็นพระอรหันต์

หรือต้นกำลังจะตั้งตนเป็นศาสดาเสียเอง อวดรู้ ทั้งที่ไม่ได้รู้จริงเลย จึงมองไม่เห็นความจริง

คนแบบต้นนี้หละ ดูจากพฤติกรรมที่ทำ พูด คิดแล้ว หากจะจัดเข้าเป็นพวกมหาโจรใน ๕ จำพวก ที่พระบรมศาสดาทรงสอนเอาไว้ ต้นก็คงจะเป็นมหาโจรจำพวก

ประเภทที่ ๑ มหาโจรบางคนในโลกนี้ ย่อมปรารถนาอย่างนี้ว่า เมื่อไรหนอเราจักเป็นผู้อันบุรุษร้อยหนึ่ง หรือพันหนึ่งแวดล้อมแล้ว ท่องเที่ยวไปในคามนิคมและราชธานีเบียดเบียนเอง ให้ผู้อื่นเบียดเบียน ตัดเอง ให้ผู้อื่นตัด เผาผลาญเอง ให้ผู้อื่นเผาผลาญ สมัยต่อมา เขาเป็นผู้อันบุรุษร้อยหนึ่ง หรือพันหนึ่ง แวดล้อมแล้วเที่ยวไปในคามนิคมและราชธานี เบียดเบียนเอง ให้ผู้อื่นเบียดเบียน ตัดเอง ให้ผู้อื่นตัด เผาผลาญเอง ให้ผู้อื่นเผาผลาญฉันใด ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้เลวทรามบางรูปในธรรมวินัยนี้ ก็ฉันนั้นเหมือนกันแลย่อมปรารถนาอย่างนี้ว่า เมื่อไรหนอ เราจึงจักเป็นผู้อันภิกษุร้อยหนึ่ง หรือพันหนึ่งแวดล้อมแล้วเที่ยวจาริกไปในคามนิคมและราชธานี อันคฤหัสถ์และบรรพชิต สักการะ เคารพ นับถือ บูชายำเกรง ได้จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และคิลานปัจจัย เภสัชบริขาร สมัยต่อมา เธอเป็นผู้อันภิกษุร้อยหนึ่ง หรือพันหนึ่งแวดล้อมแล้ว เที่ยวจาริกไปในคามนิคมและราชธานี อันคฤหัสถ์และบรรพชิตสักการะ เคารพ นับถือ บูชา ยำเกรงแล้ว ได้จีวร บิณฑบาต เสนาสนะและคิลานปัจจัยเภสัชบริขารทั้งหลาย ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นมหาโจรจำพวกที่ ๑ มีปรากฏอยู่ในโลก

ประเภทที่ ๒ ภิกษุผู้เลวทรามบางรูปในธรรมวินัยนี้ เล่าเรียนธรรมวินัยอันตถาคตประกาศแล้ว ย่อมยกตนขึ้น ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นมหาโจรจำพวกที่ ๒ มีปรากฏอยู่ในโลก

ประเภทที่ ๕ ภิกษุผู้กล่าวอวดอุตตริมนุสสธรรม อันไม่มีอยู่ อันไม่เป็นจริงนี้จัดเป็นยอดมหาโจร ในโลกพร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณะพราหมณ์ เทวดา และมนุษย์ ข้อนั้น เพราะเหตุไร เพราะภิกษุนั้น ฉันก้อนข้าวของชาวแว่นแคว้น ด้วยอาการแห่งคนขโมย.

ช่างน่าสงสารบรรดาสาวกของต้นนัก ที่มาหลงงมงายอยู่กับความวิปริต ละเมิดธรรม ละเมิดวินัย เป็นอาจินเช่นนี้

พุทธะอิสระ

——————————————–

ลิงค์จาก : https://www.facebook.com/buddha.isara/posts/pfbid02CY3N46kpsvm5BCKVeE4sH72TCQhr8Aa7XSzAxkwqWc2cZZcQxwx7z9MZF4u9AmDTl