ขอคิดต่างเป็นข้อๆ นะจ๊ะ คงจะไม่โกรธกันนะจ๊ะ

0
58

ขอคิดต่างเป็นข้อๆ นะจ๊ะ คงจะไม่โกรธกันนะจ๊ะ
๒๗ กันยายน ๒๕๖๗

๑. ข้อคิดต่าง จากคำสอนของจารย์นะจ๊ะ

แล้วคำสอนเรื่องหัวใจพระพุทธศาสนาที่คนทั่วโลกเขาสวดกันว่า

สัพพะปาปัสสะ อะกะระณัง
– การไม่ทำบาปทั้งปวง

กุสะลัสสูปะสัมปะทา
– การทำกุศลให้ถึงพร้อม

สะจิตตะปะริโยทะปะนัง
– การชำระจิตของตนให้ขาวรอบ

เอตัง พุทธานะสาสะนัง
– ธรรม ๓ อย่างนี้, เป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย

ขันตี ปะระมัง ตะโป ตีติกขา
– ขันติ คือความอดกลั้น, เป็นธรรมเครื่องเผากิเลสอย่างยิ่ง

นิพพานัง ปะระมัง วะทันติ พุทธา
– ผู้รู้ทั้งหลายกล่าวพระนิพพานว่าเป็นธรรมอันยิ่ง

นะ หิ ปัพพะชิโต ปะรูปะฆาตี
– ผู้กำจัดสัตว์อื่นอยู่ไม่ชื่อว่าเป็นบรรพชิตเลย

สะมะโณ โหติ ปะรัง วิเหฐะยันโต
– ผู้ทำสัตว์อื่นให้ลำบากอยู่ไม่ชื่อว่าเป็นสมณะเลย

อะนูปะวาโท อะนูปะฆาโต
– การไม่พูดร้าย การไม่ทำร้าย

ปาติโมกเข จะ สังวะโร
– การสำรวมในปาติโมกข์

มัตตัญญุตา จะ ภัตตัส๎มิง
– ความเป็นผู้รู้ประมาณในการบริโภค

ปันตัญจะ สะยะนาสะนัง
– การนอน การนั่ง ในที่อันสงัด

อะธิจิตเต จะ อาโยโค
– ความหมั่นประกอบในการทำจิตให้ยิ่ง

เอตัง พุทธานะสาสะนัง
– ธรรม ๖ อย่างนี้, เป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย

เช่นนี้คำที่จารย์สอนว่า มันจะเกิดปัญหาในการรับรู้หลักคำสอนที่จะเอามาสู่การใช้ชีวิตจริง การใช้ชีวิตจริงเราจะไม่ได้มาใช้ชีวิตจริงโดยการสวดมนต์

สงสัยนะจ๊ะสงสัย จารย์ช่วยอธิบายให้ฟังหน่อยว่า บทพระธรรมที่เป็นคำสวดที่นำมาสวดจนขึ้นใจ จำไว้ในใจ รับเอาไว้ในใจ รู้อยู่ในใจ แล้วนำมาคิดวิเคราะห์แยกแยะเหล่านี้ มันจะเป็นปัญหาและอุปสรรค ต่อการรู้ทุกข์ รู้เหตุเกิดทุกข์ รู้ทางดับทุกข์ รู้ข้อปฏิบัติให้ทุกข์นั้นดับได้ตรงไหน

มิใช่บทพระธรรมที่เป็นบทสวด มีแต่เพียงเท่านี้นะจารย์ มันยังมีอยู่อีกมากมายที่คนพุทธทั้งโลก เขานำมาสวด รับเอาใส่ใจ รู้อยู่ในใจ จดจำไว้ในใจ คิดอยู่ ตรึงอยู่ในใจ มาเป็นเวลายาวนานเป็นพันปี เขาก็มิมีใครมาตำหนิติด่าว่า การสวด การสาธยายพระธรรมเป็นเรื่องไม่ดี จะมีก็แต่จารย์นี่แหละ สอนว่าไม่ดี

จารย์…จารย์ ช่วยใช้สติปัญญาอันเลิศของจารย์ช่วยอธิบายหน่อย ว่าการสวด การสาธยายมนต์บทพระธรรมคำสอน มันไปขัดขวางการเห็นทุกข์ เห็นเหตุเกิดทุกข์ เห็นทางดับทุกข์ เห็นข้อปฏิบัติให้ทุกข์นั้นดับได้อย่างไร

รอฟังอยู่นะจารย์

ข้อคิดต่างข้อที่ ๒

หากจารย์เห็นว่า การนั่งสวดมนต์ในบทพระธรรมคำสั่งสอน มันไม่สามารถที่จักทำลายเหตุของการเกิดทุกข์ได้หมดสิ้น เช่นนี้แล้ว จารย์มาสอนให้ศิษย์ของจารย์สวดพระปริตร ในบทรัตนปริตร บทอาฏานาฏิยปริตร บทขันธปริตร

พุทธะอิสระก็สงสัยว่า การสวดพระปริตร ที่จารย์ยกมาให้ศิษย์สวดนี้ มันจะทำให้รู้ทุกข์ รู้เหตุเกิดทุกข์ รู้ทางดับทุกข์ รู้ข้อปฏิบัติให้ทุกข์นั้นดับได้จริงกระนั้นหรือจารย์

สรุปแล้ว จะให้สวด หรือไม่ให้สวด

จารย์บอกศิษย์ว่า ส่วนพระธรรมคำสอนไม่ได้ จะไม่รู้ทุกข์ ไม่รู้เหตุ ไม่รู้ทาง ไม่รู้ข้อปฏิบัติให้ทุกข์ดับ

แต่ส่วนพระปริตรทั้ง ๓ จะทำให้รู้ทุกข์ รู้เหตุเกิดทุกข์ รู้ทางดับทุกข์ รู้ข้อปฏิบัติให้ทุกข์นั้นดับ ได้อย่างไรจารย์ช่วยบอกที รออยู่นะจารย์

เท่าที่สติปัญญาอันอ่อนด้อยน้อยนิดของพุทธะอิสระพอจะมี ก็รู้มาว่า มนต์พระปริตรบทรัตนสูตร พระพุทธเจ้าทรงผูกขึ้นก็เพื่อใช้ขับไล่เสนียดจัญไร และทุพภิกขภัย ที่เกิดขึ้นในนครเวสาลี

ส่วนอาฏานาฏิยะปะริตตังสูตร ท้าวจตุโลกบาลทั้ง ๔ เป็นผู้ผูกขึ้น เพื่อถวายให้แก่หมู่ภิกษุสงฆ์ใช้สาธยายขับไล่ในเวลาที่มีพวกอมนุษย์ และหมู่ยักษ์น้อยใหญ่ทั้งหลายมารบกวน รังควาน

และขันธปริตร ใช้สวดสาธยายแผ่เมตตาให้พญางูทั้ง ๔ ตระกูล อันได้แก่ ตระกูลวิรูปักขะ ตระกูลเอราปถะ ตระกูลฉัพยาปุตตะ ตระกูลกัณหาโคตมกะ และบริวาร ไม่ให้มารบกวนพระเณร พุทธบริษัทในขณะบำเพ็ญเพียร

ส่วนรายละเอียดในพระปริตรทั้ง ๓ นั้นเป็นการกล่าวสรรเสริญคุณพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ ว่ามีอำนาจครอบงำเภทภัยทั้งปวงเท่านั้น หาได้มีบทใด บาทใดเป็นข้อปฏิบัติ ให้ถึงความพ้นทุกข์ได้เลย

หรือจารย์ว่า แค่สรรเสริญคุณพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ ก็หลุดพ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้แล้ว
อย่างนี้มันจะไม่กลายเป็นเกลียดงู กินไก่ เกลียดปลาไหล ไปกินปลาร้าหรือจารย์

เฮ้อ…กูหละเหนื่อย

พุทธะอิสระ

——————————————–

ลิงค์จาก : https://www.facebook.com/buddha.isara/posts/pfbid02JmHR8ZTh2TQ9svhmPvNzMNsmYeJfQEzr5gqV6bnoaDMvpZd7vu1FTmZU8vGvtWZkl

——————————————–

May I explain my different points of view, one by one? I hope it will not upset you.
September 27, 2024

1. My different viewpoint
The Ovada-patimokkha Gatha is the principal instruction of the Buddha and the heart of all Buddhism that Buddhists worldwide chant.

Sabba-pāpassa akaraṇaṃ,
– The non-doing of any evil,

Kusalassūpasampadā,
– The making of all kinds of meritorious deeds,

Sacitta-pariyodapanaṃ,
– The cleansing of one’s mind,

Etaṃ buddhāna-sāsanaṃ,
– These three are the Buddhas’ teachings.

Khantī paramaṃ tapo titikkhā,
– Patience and forgiveness are the highest ascetic practice;

Nibbāṇaṃ paramaṃ vadanti buddhā,
– The Awakened Ones say the Nirvana is the highest;

Na hi pabbajito parūpaghātī,
– A monk does not hurt others;

Samaṇo hoti paraṃ viheṭhayanto.
– One who harms others, is not a monk.

Anūpavādo anūpaghāto,
– Not disparaging, not injuring,

Pāṭimokkhe ca saṃvaro,
– Restraint in line with the monastic code,

Mattaññutā ca bhattasmiṃ
– Moderation in consumption,

Pantañca sayan’āsanaṃ,
– Dwelling in seclusion,

Adhicitte ca āyogo,
– Commitment to the heightened mind,

Etaṃ buddhāna-sāsananti.
– These six are the Buddha’s teachings.

Ajarn said that chanting may hinder one’s application of Buddha’s teachings because chanting a prayer does not apply to real life.

I doubt. Jarn, would you please explain how this Dharma principle prayer, which one continuously chants until one memorizes, takes, perceives, and analyzes in one’s mind, can become a problem and obstacle to perceiving suffering, the cause of suffering, cessation of suffering, and paths to the cessation of suffering?

Jarn, this prayer is not the only one. Several other prayers Buddhists worldwide have chanted, memorized, perceived, remembered, and contemplated in their minds for over a thousand years. Nobody has ever criticized chanting prayer as not being good. Only Jarn criticizes it.

Jarn…Jarn, please use your brilliant mind to explain how chanting a prayer may hinder perceiving suffering, the cause of suffering, the cessation of suffering, and paths to the cessation of suffering. Jarn, I am waiting to hear your explanation.

My second different point of view
Suppose Jarn think that chanting a prayer cannot eradicate the cause of suffering, why have Jarn taught your disciples to chant the Jewel Discourse (Ratana sutta), Āṭānāṭiya Paritta, Khandha Paritta?

Buddha Isara (I) wonder why you recommended your disciples chant Paritta prayers and how this may enable them to perceive suffering, the cause of suffering, the cessation of suffering, and the paths to the cessation of suffering.

So, would you like them to chant a prayer or not?

Jarn told your disciples chanting a prayer will not enable us to perceive suffering, the cause of suffering, the cessation of suffering, and paths to the cessation of suffering.

How may the three Paritta prayers lead to one’s perception of suffering, the cause of suffering, the cessation of suffering, and the paths to the cessation of suffering? Please explain. Jarn, I am waiting to hear your explanation.

With my tiny wisdom, the Buddha conceived the Jewel Discourse or Rattana Sutta to dispel misfortune and calamities from the Vesali Town.

The Āṭānāṭiya Paritta was composed by The Guardian Deities of Four Parts of Earth for monks to dispel disturbing evil spirits and ogres.

The Buddha preached the Khandha Paritta with loving kindness towards the Kings of the four Nāga families: Kanha Kotama, A-Ra Pata, Chubpaya Putta, Virupak, and their followers, to prevent them from disturbing monks, novices, and Buddhists who were practicing mental development meditation.

Details of the three Paritta prayers praise the divinity of the Buddha, the Dhamma (doctrine), and the Sangha (noble monks) that can protect faithful believers from perils. No part of the Paritta prayers is related to the practice leading to the extinction of suffering.

Or, do you think only praising the Buddha, the Dhamma (doctrine), and the Sangha (noble monks) may lead to the extinction of suffering?

Jarn, isn’t it similar to a Thai idiom “Hate the animal but eat its eggs, hate eels but eat eel soup.”?

[Sign] I am tired.

Buddha Issara

——————————————–

Previous article : https://www.facebook.com/buddha.isara/posts/pfbid02JmHR8ZTh2TQ9svhmPvNzMNsmYeJfQEzr5gqV6bnoaDMvpZd7vu1FTmZU8vGvtWZkl