มหาปรินิพพานสูตร (ตอนที่ ๒๑)
๑๔ สิงหาคม ๒๕๖๗
ความเดิมตอนที่แล้วจบลงตรงที่ ท่านพระมหากัสสปพร้อมหมู่ภิกษุ ๕๐๐ รูป ได้รับทราบข่าวการปรินิพพานของพระบรมศาสดาเมื่อ ๗ วันที่ผ่านมาจากอาชีวกคนหนึ่ง
สมัยนั้น บรรพชิตผู้บวชเมื่อแก่ นามว่าสุภัททะ นั่งอยู่ในบริษัทนั้นด้วย ครั้งนั้น สุภัททวุฒบรรพชิตได้กล่าวกะภิกษุทั้งหลายว่า อย่าเลยอาวุโสพวกท่านอย่าเศร้าโศก อย่าร่ำไรไปเลย พวกเราพ้นดีแล้ว ด้วยว่าพระมหาสมณะนั้น ขณะมีชีวิตอยู่ ก็มักจะจู้จี้ ตำหนิพวกเราอยู่เนืองๆ ว่า สิ่งนี้ควรแก่เธอ สิ่งนี้ไม่ควรแก่เธอ ก็ในบัดนี้ พระมหาสมณะนั้นตายจากเราไปแล้ว พวกเราปรารถนาสิ่งใด ก็จักกระทำสิ่งนั้น ไม่ปรารถนาสิ่งใด ก็จักไม่กระทำสิ่งนั้น
ลำดับนั้น ท่านพระมหากัสสปเตือนภิกษุทั้งหลายว่า อย่าเลยอาวุโสพวกท่านอย่าเศร้าโศก อย่าร่ำไรไปเลย พระผู้มีพระภาคได้ตรัสสอนไว้อย่างนี้ก่อนแล้วไม่ใช่หรือว่า ความเป็นต่างๆ ความพลัดพรากจากของรักของชอบใจทั้งสิ้น ต้องมี เพราะฉะนั้น จะพึงหวังอะไรได้ในของรักของชอบใจนี้มาแต่ที่ไหน สิ่งใดเกิดแล้ว มีแล้ว ปัจจัยปรุงแต่งแล้ว มีความทำลาย แตกสลายไปเป็นธรรมดาการปรารถนาว่า ขอสิ่งนั้นอย่าทำลาย อย่าแตกสลายไปเลย ดังนี้ มิใช่ฐานะที่จะมีได้ ฯ
สมัยนั้น มัลลปาโมกข์ ผู้เป็นอาจารย์ของพวกกษัตริย์มัลละทั้ง ๔ องค์ สระสรงเกล้าแล้วทรงนุ่งผ้าใหม่ด้วยตั้งใจว่า เราจักไปทำไฟให้ติดจิตกาธารของพระผู้มีพระภาค แต่ก็มิอาจให้ติดได้
ลำดับนั้น พวกเจ้ามัลละได้ถามท่านพระอนุรุทธะว่า ข้าแต่ท่านอนุรุทธะ อะไรหนอเป็นเหตุ อะไรหนอเป็นปัจจัย ที่ทำให้มัลลปาโมกข์ทั้ง ๔ องค์นี้ผู้สระสรงเกล้าแล้ว ทรงนุ่งผ้าใหม่ ด้วยตั้งใจว่า เราจักทำไฟให้ติดจิตกาธารก็มิอาจให้ติดได้ ฯ
ท่านพระอนุรุทธะ จึงกล่าวว่า ดูกรวาสิฏฐะทั้งหลาย ความประสงค์ของพวกท่านอย่างหนึ่ง ของพวกเทวดาก็อีกอย่างหนึ่ง ฯ
พวกเจ้ามัลละ จึงกล่าวว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ก็ความประสงค์ของพวกเทวดาเป็นอย่างไรเล่า
ดูกรวาสิฏฐะทั้งหลาย ความประสงค์ของพวกเทวดามีอยู่ว่า เวลานี้ท่านพระมหากัสสปพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ประมาณ ๕๐๐ รูป เดินทางไกลจากเมืองปาวาเพื่อมาสู่เมืองกุสินารา ด้วยมุ่งหวังที่จักกราบถวายบังคมพระบาทในองค์พระศาสดา จิตกาธารของพระผู้มีพระภาคจึงจักยังไม่ลุกโพลงขึ้น จนกว่าท่านพระมหากัสสปจะถวายบังคมพระบาททั้งสองของพระผู้มีพระภาคด้วยมือของตน ฯ
พวกมัลละกษัตริย์จึงกล่าวว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ขอให้เป็นไปตามความประสงค์ของพวกเทวดาเถิด ฯ
ครั้งนั้น ท่านพระมหากัสสปเข้าไปถึงมกุฏพันธนเจดีย์ของพวกเจ้ามัลละในเมืองกุสินารา และถึงจิตกาธารของพระผู้มีพระภาค ครั้นแล้วกระทำจีวรเฉวียงบ่าข้างหนึ่ง ประนมอัญชลี กระทำประทักษิณจิตกาธาร ๓ รอบ แล้วเปิดทางพระบาทถวายบังคมพระบาททั้งสองของพระผู้มีพระภาคด้วยเศียรเกล้า แม้ภิกษุ ๕๐๐ รูปเหล่านั้น ก็กระทำจีวรเฉวียงบ่าข้างหนึ่ง ประนมอัญชลี กระทำประทักษิณ ๓ รอบแล้วถวายบังคมพระบาททั้งสองของพระผู้มีพระภาคด้วยเศียรเกล้า
เมื่อท่านพระมหากัสสปและภิกษุ ๕๐๐ รูปนั้นถวายบังคมแล้ว จิตกาธารของพระผู้มีพระภาคก็โพลงขึ้นเอง
เมื่อพระสรีระของพระผู้มีพระภาคถูกเพลิงไหม้อยู่ พระอวัยวะส่วนใดคือ พระฉวี พระจัมมะ พระมังสะ พระนหารู หรือพระลสิกา เถ้า เขม่าแห่งพระอวัยวะส่วนนั้น มิได้ปรากฏเลย เหลืออยู่แต่พระสรีระอย่างเดียว
เมื่อเนยใสและน้ำมันถูกไฟไหม้อยู่ เถ้า เขม่า มิได้ปรากฏ ฉันใด
เมื่อพระสรีระของพระผู้มีพระภาคถูกเพลิงไหม้อยู่ พระอวัยวะส่วนใด คือ พระฉวี พระจัมมะ พระมังสะ พระนหารู หรือพระลสิกา เถ้า เขม่าแห่งพระอวัยวะส่วนนั้น มิได้ปรากฏเลย เหลืออยู่แต่พระสรีระอย่างเดียวฉันนั้นเหมือนกัน และบรรดาผ้า ๕๐๐ คู่เหล่านั้น ไฟไหม้เพียง ๒ ผืนเท่านั้น คือ ผืนในที่สุด กับผืนนอก เมื่อพระสรีระพระผู้มีพระภาคถูกไฟไหม้แล้ว ท่อน้ำก็ไหลหลั่งมาจากอากาศดับจิตกาธารของพระผู้มีพระภาค น้ำพุ่งขึ้นแม้จากไม้สาละ ดับจิตกาธานของพระผู้มีพระภาค
พวกเจ้ามัลละเมืองกุสินารา ดับจิตกาธารของพระผู้มีพระภาคด้วยน้ำหอมล้วนๆ
ลำดับนั้น พวกเจ้ามัลละเมืองกุสินารากระทำสัตติบัญชรในสัณฐาคารแวดล้อมด้วยธนูปราการ สักการะ เคารพ นับถือ บูชาพระสรีระพระผู้มีพระภาคตลอดเจ็ดวันด้วยการฟ้อนรำ ด้วยการขับ ด้วยการประโคม ด้วยพวงมาลัย ฯ
จบเอาไว้แค่นี้ก่อนนะจ๊ะ
เจริญธรรม
พุทธะอิสระ
——————————————–