มหาปรินิพพานสูตร (ตอนที่ ๑๙)
๗ สิงหาคม ๒๕๖๗
ความเดิมตอนที่แล้วจบลงตรงที่ พระบรมศาสดาได้กล่าวพระปัจฉิมโอวาทแก่ภิกษุทั้งหลายว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ เราขอเตือนพวกเธอทั้งหลายว่า สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดาพวกเธอจงยังประโยชน์ตนและประโยชน์ท่านให้ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาทเถิด
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงเข้าปฐมฌานออกจากปฐมฌานแล้ว ทรงเข้าทุติยฌาน ออกจากทุติยฌานแล้ว ทรงเข้าตติยฌาน ออกจากตติยฌานแล้ว ทรงเข้าจตุตถฌาน ออกจากจตุตถฌานแล้ว ทรงเข้าอากาสานัญจายตนะ ออกจากอากาสานัญจายตนสมาบัติแล้ว ทรงเข้าวิญญาณัญจายตนะ ออกจากวิญญาณัญจายตนสมาบัติแล้ว ทรงเข้าอากิญจัญญายตนะ ออกจากอากิญจัญญายตนสมาบัติแล้ว ทรงเข้าเนวสัญญานาสัญญายตนะ ออกจากเนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติแล้ว ทรงเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธ ฯ
ครั้งนั้น ท่านพระอานนท์ได้กล่าวถามท่านพระอนุรุทธะว่าพระผู้มีพระภาคเสด็จปรินิพพานแล้วหรือยัง
ท่านพระอนุรุทธะตอบว่าอานนท์ผู้มีอายุ พระผู้มีพระภาคยังไม่เสด็จปรินิพพาน ทรงเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธอยู่
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคออกจากสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติแล้ว
ทรงเข้าเนวสัญญานาสัญญายตนะ ออกจากเนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติแล้ว
ทรงเข้าอากิญจัญญายตนะ ออกจากอากิญจัญญายตนสมาบัติแล้ว
ทรงเข้าวิญญาณัญจายตนะ ออกจากวิญญาณัญจายตนสมาบัติแล้ว
ทรงเข้าอากาสานัญจายตนะ ออกจากอากาสานัญจายตนสมาบัติแล้ว
ทรงเข้าจตุตถฌาน ออกจากจตุตถฌานแล้วทรงเข้าตติยฌาน ออกจากตติยฌานแล้ว
ทรงเข้าทุติยฌาน ออกจากทุติยฌานแล้ว
ทรงเข้าปฐมฌาน ออกจากปฐมฌานแล้ว
ทรงเข้าทุติยฌาน ออกจากทุติยฌานแล้ว
ทรงเข้าตติยฌาน ออกจากตติยฌานแล้ว
ทรงเข้าจตุตถฌาน พระผู้มีพระภาคออกจากจตุตถฌานแล้ว เสด็จปรินิพพานในลำดับ
เมื่อพระผู้มีพระภาคเสด็จปรินิพพานแล้ว การเสด็จปรินิพพานของพระพุทธองค์ยังให้เกิดแผ่นดินไหวใหญ่ เกิดความขนพองสยองเกล้าน่าสะพรึงกลัว ไปทั่วทั้งสากลโลกอีกทั้งกลองทิพย์ก็บันลือขึ้นเองโดยไม่มีผู้ใดตี
เมื่อพระผู้มีพระภาคเสด็จปรินิพพานแล้ว ท้าวสหัมบดีพรหมได้กล่าวคาถานี้ ความว่าสัตว์ทั้งหลายทั้งปวง จักต้องทอดทิ้งร่างกายไว้ในโลก แม้แต่พระตถาคตผู้เป็นศาสดาเช่นนั้น หาบุคคลจะเปรียบเทียบมิได้ในโลก เป็นพระสัมพุทธเจ้า ก็ยังทรงเสด็จปรินิพพาน
เมื่อพระผู้มีพระภาคเสด็จปรินิพพานแล้ว ท้าวสักกะจอมเทพ ได้ตรัสพระคาถานี้ความว่า สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงหนอ มีความเกิดขึ้นและเสื่อมไปเป็นธรรมดา บังเกิดขึ้นแล้ว ย่อมดับไป ความเข้าไปสงบสังขารเหล่านั้น เป็นสุข ฯ
เมื่อพระผู้มีพระภาคเสด็จปรินิพพานแล้ว ท่านพระอนุรุทธะ ได้กล่าวคาถานี้ความว่า ลมอัสสาสะปัสสาสะของพระมหามุนีเจ้า ผู้มีพระทัยตั้งมั่น คงที่ ไม่หวั่นไหว ทรงปรารภสันติ ทรงทำกาละสิ้นแล้ว มิได้มีแล้ว พระองค์มีพระทัยไม่หดหู่ ทรงปราศจากเวทนาแล้ว ความพ้นแห่งการมีจิตได้มีแล้ว เหมือนดวงประทีปดับไปฉะนั้น ฯ
เมื่อพระผู้มีพระภาคเสด็จปรินิพพานแล้ว ท่านพระอานนท์ได้กล่าวคาถานี้ ความว่า เมื่อพระสัมพุทธเจ้าผู้ประกอบด้วยอาการอันประเสริฐทั้งปวงเสด็จปรินิพพานแล้ว ในครั้งนั้นได้เกิดความอัศจรรย์น่าสะพรึงกลัว บังเกิดความขนพองสยองเกล้าไปทั่ว ในสิ่งมีชีวิตทั้งปวง
เมื่อพระผู้มีพระภาคเสด็จปรินิพพานแล้ว บรรดาภิกษุทั้งหลายนั้น ภิกษุเหล่าใด ยังมีราคะไม่ไปปราศแล้ว ภิกษุเหล่านั้น บางพวกประคองแขนทั้งสองคร่ำครวญอยู่ ล้มลงกลิ้งเกลือกไปมาดุจมีเท้าอันขาดแล้ว รำพันว่าพระผู้มีพระภาคเสด็จปรินิพพานเสียเร็วนัก พระสุคตเสด็จปรินิพพานเสียเร็วนักพระองค์ผู้มีพระจักษุของโลก อันตรธานเสียเร็วนัก ส่วนภิกษุเหล่าใดที่มีราคะไปปราศแล้วภิกษุเหล่านั้นมีสติสัมปชัญญะพิจารณาโดยธรรมสังเวชว่า สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงหนอ เพราะฉะนั้น เหล่าสัตว์จะพึงหวังอะไรได้ในสังขารนี้แต่ที่ไหน ฯ
ครั้งนั้น ท่านพระอนุรุทธะเตือนภิกษุทั้งหลายว่า อย่าเลยอาวุโสทั้งหลาย พวกท่านอย่าเศร้าโศก อย่าร่ำไรไปเลย เรื่องนี้พระผู้มีพระภาคตรัสบอกไว้ก่อนแล้วไม่ใช่หรือว่า ความมีอาการต่างๆ ความพลัดพรากจากของรักของเจริญใจ ล้วนมีความเป็นอย่างอื่นแปรเปลี่ยนไป ที่เกิดแก่ของรักของชอบใจทั้งสิ้นนั้นต้องมี เพราะฉะนั้น จะพึงมุ่งหวังอะไรได้ในของรักของชอบใจนี้มีมาแต่ที่ไหน สิ่งใดเกิดแล้วมีแล้วปัจจัยปรุงแต่งแล้ว ย่อมมีความทำลายแตกสลายเป็นธรรมดา การปรารถนาว่า ขอสิ่งนั้นอย่าทำลายไปเลย อย่าแตกสลายไปเลย ดังนี้ มิใช่ฐานะที่จะมีได้
ดูกรอาวุโสทั้งหลาย พวกเทวดาพากันยกโทษอยู่ ท่านพระอานนท์ถามว่า ท่านอนุรุทธะ พวกเทวดาเป็นอย่างไร กระทำไว้ในใจเป็นไฉน ท่านพระอนุรุทธะตอบว่า มีอยู่ อานนท์ผู้มีอายุ
เทวดาบางพวกสำคัญอากาศว่าเป็นแผ่นดิน สยายผมประคองแขนทั้งสองคร่ำครวญอยู่ ล้มลงกลิ้งเกลือกไปมาดุจมีเท้าอันขาดแล้วรำพันว่า พระผู้มีพระภาคเสด็จปรินิพพานเสียเร็วนัก พระสุคตเสด็จปรินิพพานเสียเร็วนัก พระองค์ผู้มีพระจักษุในโลก อันตรธานเสียเร็วนัก ดังนี้
เทวดาบางพวกสำคัญแผ่นดินว่าเป็นแผ่นดินสยายผมประคองแขนทั้งสองคร่ำครวญอยู่ ล้มลงกลิ้งเกลือกไปมาดุจมีเท้าอันขาดแล้ว รำพันว่า พระผู้มีพระภาคเสด็จปรินิพพานเสียเร็วนัก พระสุคตเสด็จปรินิพพานเสียเร็วนัก พระองค์ผู้มีพระจักษุในโลกอันตรธานเสียเร็วนัก ดังนี้
ส่วนเทวดาที่ปราศจากราคะแล้ว มีสติสัมปชัญญะอดกลั้นโดยธรรมสังเวชว่า สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง เพราะฉะนั้น เหล่าสัตว์จะพึงมุ่งหวังอะไรได้ในสังขารนี้แต่ที่ไหน ฯ
ครั้งนั้น ท่านพระอนุรุทธะและท่านพระอานนท์ ยังกาลให้ล่วงไปด้วยการแสดงธรรมเป็นเครื่องยังให้เจริญสติ เจริญปัญญาอยู่ตลอดราตรีที่ยังมีเวลาเหลืออยู่
จบแล้วจ้า
สัพเพ สังขารา อะนิจจา สังขารทั้งปวง ไม่เที่ยง
สัพเพ สังขารา ทุกขา สังขารทั้งปวง ไม่คงที่เป็นทุกข์ทนได้ยาก
สัพเพ ธัมมา อะนัตตา แม้ธรรมทั้งหลายทั้งปวงก็ไม่มีตัวตน
เจริญธรรม
พุทธะอิสระ
——————————————–