มหาปรินิพพานสูตร (ตอนที่ 17)

0
33

มหาปรินิพพานสูตร (ตอนที่ ๑๗)
๒ สิงหาคม ๒๕๖๗

ความเดิมตอนที่แล้วจบลงตรงที่ พระอานนท์เข้าไปยังสัณฐาคารของพวกเจ้ามัลละเมืองกุสินารา เพื่อแจ้งให้ทราบว่า พระตถาคตจักเสด็จปรินิพพานในปัจฉิมยามแห่งราตรีในวันนี้ ให้กลับไปแจ้งข่าวแก่ประยูรญาติ เพื่อไปเฝ้าพระบรมศาสดาเป็นครั้งสุดท้าย

ครั้งนั้น พวกเจ้ามัลละกับโอรส สุณิสา ปชาบดี พร้อมพระประยูรญาติและบริวารทั้งปวง ต่างเป็นทุกข์เสียพระทัยเปี่ยมไปด้วยความทุกข์ใจ เสด็จเข้าไปยังสาลวันอันเป็นที่แวะพักของเจ้ามัลละทั้งหลาย เสด็จเข้าไปหาท่านพระอานนท์

ท่านพระอานนท์ได้มีความดำริว่า ถ้าเราจักให้พวกเจ้ามัลละเมืองกุสินาราถวายบังคมพระผู้มีพระภาคทีละองค์ๆ พวกเจ้ามัลละเมืองกุสินาราจักมิได้ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคทั่วกัน ราตรีนี้ใกล้จักสว่างแล้ว ถ้ากระไร เราควรจะจัดให้พวกเจ้ามัลละเมืองกุสินาราถวายบังคมพระผู้มีพระภาคโดยลำดับสกุลๆ

แล้วจึงเข้าไปกราบทูลองค์พระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เจ้ามัลละมีนามอย่างนี้พร้อมด้วยโอรส ชายา บริษัทและอำมาตย์ พร้อมบริวาร ขอถวายบังคมพระบาททั้งสองของพระผู้มีพระภาคด้วยเศียรเกล้า องค์พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงเห็นด้วยการยอมรับโดยดุษฎี

ครั้งเมื่อได้รับพระพุทธานุญาตแล้ว ท่านพระอานนท์จึงจัดให้พวกเจ้ามัลละเมืองกุสินาราถวายบังคมพระผู้มีพระภาคโดยลำดับสกุล ด้วยกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เจ้ามัลละมีนามอย่างนี้ พร้อมด้วยโอรส ชายา บริษัท และอำมาตย์ ขอถวายบังคมพระบาททั้งสองของพระผู้มีพระภาคด้วยเศียรเกล้า โดยวิธีเช่นนี้ ท่านพระอานนท์ ยังพวกเจ้ามัลละเมืองกุสินารา ให้ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเสร็จภายในปฐมยามเท่านั้น ฯ

ก็สมัยนั้น ปริพาชกนามว่า สุภัททะ ผู้มีถิ่นที่อาศัยอยู่ในเมืองกุสินารา

สุภัททปริพาชกได้สดับว่า พระสมณโคดมจักปรินิพพานในปัจฉิมยามแห่งราตรีในวันนี้แหละ

สุภัททปริพาชกได้มีความคิดอย่างนี้ว่า เราได้สดับถ้อยคำของพวกปริพาชกผู้เฒ่าผู้แก่ ซึ่งเป็นอาจารย์และปาจาริยาจารย์กล่าวอยู่ว่า ไม่ง่ายเลยที่พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าจะอุบัติขึ้นในโลก ในเวลานี้ พระสมณโคดมผู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าจักปรินิพพานในปัจฉิมยามแห่งราตรีในวันนี้แล้ว

อนึ่ง ธรรมอันเป็นที่สงสัยนี้ซึ่งบังเกิดขึ้นแก่เราก็มีอยู่ เรามีความเลื่อมใสในพระสมณโคดม พระสมณโคดมย่อมสามารถจะแสดงธรรมแก่เรา จักทำให้เราละธรรมอันเป็นที่สงสัยเหล่านี้ได้ อย่ากระนั้นเลย เราควรใช้โอกาสที่มีน้อยนิดนี้เข้าไปเพื่อทูลถามปัญหา แก่องค์พระบรมศาสดาจะดีกว่า

ลำดับนั้น สุภัททปริพาชกจึงเข้าไปยังสาลวันอันเป็นที่องค์พระบรมศาสดากำลังทรงประทับเพื่อปรินิพพานในค่ำคืนนี้ ปริพาชกนั้นจึงเข้าไปหาท่านพระอานนท์ แล้วได้กล่าวว่า

ข้าแต่ท่านอานนท์ข้าพเจ้าได้สดับถ้อยคำของพวกปริพาชกผู้เฒ่าผู้แก่ ซึ่งเป็นอาจารย์และปาจาริยาจารย์กล่าวอยู่ว่า ไม่ง่ายเลยที่พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าจะอุบัติในโลก แค่ค่ำคืนนี้ พระสมณโคดมจักปรินิพพานในปัจฉิมยามแห่งราตรีในวันนี้แหละ อนึ่งธรรมอันเป็นที่สงสัยนี้ ซึ่งบังเกิดขึ้นแก่ข้าพเจ้าก็มีอยู่ ข้าพเจ้าเลื่อมใสในพระสมณโคดมอย่างนี้ว่า พระสมณโคดมย่อมสามารถจะแสดงธรรมแก่ข้าพเจ้าโดยที่ข้าพเจ้าจะพึงละธรรมอันเป็นที่สงสัยนี้ได้

ข้าแต่ท่านอานนท์ ขอโอกาสแก่ข้าพเจ้าเถิด ข้าพเจ้าควรได้เฝ้าพระสมณโคดม เมื่อสุภัททปริพาชกกล่าวอ้อนวอนอย่างนี้แล้วท่านพระอานนท์ได้กล่าวตอบสุภัททปริพาชกว่า

อย่าเลย สุภัททะ ท่านอย่ามาเบียดเบียนพระตถาคตเลย พระผู้มีพระภาคทรงประชวร เป็นอยู่อย่างยากลำบากแล้ว

แม้ครั้งที่สอง สุภัททปริพาชกก็อ้อนวอนอีก

แม้ครั้งที่สาม สุภัททปริพาชกจึงได้กล่าวขึ้นว่า ข้าแต่ท่านอานนท์ข้าพเจ้าได้สดับถ้อยคำของพวกปริพาชกผู้เฒ่าผู้แก่ ซึ่งเป็นอาจารย์และปาจาริยาจารย์กล่าวอยู่ว่า พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าจะอุบัติในโลกนั้นหาได้ยาก พระสมณโคดมจักปรินิพพานในปัจฉิมยามแห่งราตรีในวันนี้แหละ อนึ่ง ธรรมเป็นที่สงสัยนี้ ซึ่งบังเกิดขึ้นแก่ข้าพเจ้าก็ยังมีอยู่ ข้าพเจ้าเลื่อมใสในพระสมณโคดมอย่างนี้ว่า พระสมณโคดมย่อมสามารถจะแสดงธรรมแก่ข้าพเจ้าโดยประการที่ข้าพเจ้าจะพึงละธรรมอันเป็นที่สงสัยนี้ได้ ข้าแต่ท่านพระอานนท์ขอโอกาสแก่ข้าพเจ้าเถิด ข้าพเจ้าควรได้เฝ้าพระสมณโคดม

แม้ครั้งที่สาม ท่านพระอานนท์ก็ได้กล่าวตอบสุภัททปริพาชกว่า อย่าเลย สุภัททะ ท่านอย่าได้เบียดเบียนพระตถาคตเลย พระผู้มีพระภาคทรงพระประชวร อยู่ก็ยากลำบากแล้ว

พระผู้มีพระภาคทรงได้ยินถ้อยคำโต้ตอบระหว่าง ท่านพระอานนท์กับสุภัททปริพาชก จึงทรงตรัสเรียกท่านพระอานนท์มารับสั่งว่า

อย่าเลยอานนท์ เธออย่าห้ามสุภัททะ สุภัททะควรได้เข้าเฝ้าเราตถาคต สุภัททะจักถามปัญหาอย่างใดอย่างหนึ่งกะเรา จักมุ่งเพื่อความรู้ มิใช่มุ่งความเบียดเบียน อนึ่ง เราอันสุภัททะถามแล้ว จักพยากรณ์ข้อความอันใดแก่สุภัททะนั้น สุภัททะจักรู้ทั่วถึงข้อความนั้นโดยฉับพลันทีเดียว ฯ
ลำดับนั้น ท่านพระอานนท์จึงได้ออกมาบอกสุภัททปริพาชกว่า ไปเถิดสุภัททะ พระผู้มีพระภาคทรงให้โอกาสแก่ท่าน

สุภัททปริพาชกเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ครั้นเข้าไปเฝ้าแล้วได้ปราศรัยกับพระผู้มีพระภาค ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว จึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง แล้วได้กราบทูลว่า

ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ สมณพราหมณ์เหล่าใดที่เป็นเจ้าหมู่ เจ้าคณะ เป็นคณาจารย์มีชื่อเสียง มียศ เป็นเจ้าลัทธิ ชนเป็นอันมาก สมมติว่าเป็นคนดี คือบูรณกัสสปมักขลิโคสาล อชิตเกสกัมพล ปกุธกัจจายนะ สัญชัยเวลัฏฐบุตร นิครณฐนาฏบุตร สมณพราหมณ์เหล่านั้นทั้งหมด ได้ตรัสรู้ตามปฏิญญาของตนๆ หรือว่าทั้งหมดไม่ได้ตรัสรู้ หรือว่าบางพวกไม่ได้ตรัสรู้ บางพวกได้ตรัสรู้ พระเจ้าข้า

พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า อย่าเลย สุภัททะ ข้อที่ถามนั้นจงงดเสียเถิด เรามีเวลาไม่มาก ประโยชน์อันใดที่จะมาถามความบริสุทธิ์ หรือไม่บริสุทธิ์ของผู้อื่น ดูกรสุภัททะ เราจักแสดงธรรมแก่ท่าน ท่านจงตั้งใจฟังธรรมนั้น จงใส่ใจในธรรมนั้นให้ดี เราจักกล่าว

สุภัททปริพาชกทูลรับพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคแล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรสุภัททะ ในธรรมวินัยใด ไม่มีอริยมรรคประกอบด้วยองค์ ๘ ในธรรมวินัยนั้น ไม่มีสมณะที่ ๑ สมณะที่ ๒ สมณะที่ ๓ หรือสมณะที่ ๔ ในธรรมวินัยใด มีอริยมรรคประกอบด้วยองค์ ๘ ในธรรมวินัยนั้น มีสมณะที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ หรือที่ ๔

(หมายถึงพระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี พระอรหันต์)

ดูกรสุภัททะ ในธรรมวินัยนี้ มีอริยมรรคประกอบด้วยองค์ ๘ ในธรรมวินัยนี้เท่านั้น มีสมณะที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ หรือที่ ๔ ลัทธิอื่นๆว่างจากสมณะผู้รู้ทั่วถึง ก็ภิกษุเหล่านี้พึงอยู่โดยชอบ (หมายถึง มีชีวิตอยู่ตามหลักธรรมวินัยขององค์พระบรมศาสดา) โลกจะไม่พึงว่างจากพระอรหันต์ทั้งหลาย

ดูกรสุภัททะ เราโดยวัยได้ ๒๙ ปี บวชแล้ว ตามแสวงหาว่าอะไรเป็นเครื่องพ้นทุกข์ ตั้งแต่เราบวชแล้ว นับได้ ๕๑ ปี แม้สมณะอื่นที่มีอยู่ในชมพูทวีปนี้ ก็มิได้เข้าถึงธรรมแห่งความพ้นทุกข์ มีแต่ภิกษุผู้ปฏิบัติตามธรรมวินัยของเราตถาคตที่สอนดีแล้วเท่านั้น ที่เป็นเครื่องนำออกจากทุกข์ได้
ก็ภิกษุพึงอยู่โดยชอบ ด้วยหลักธรรมวินัย โลกไม่พึงว่างจากพระอรหันต์ทั้งหลาย

ท่านพระอานนท์ได้กล่าวว่า ดูกรสุภัททปริพาชก ผู้มีอายุ เป็นลาภของท่าน ท่านได้ดีแล้ว ที่พระศาสดาทรงอภิเษกด้วยอันเตวาสิกาภิเษก ในที่เฉพาะพระพักตร์ในพระศาสนานี้

สุภัททปริพาชกได้บรรพชา อุปสมบทในสำนักพระผู้มีพระภาค ก็ท่านสุภัททปริพาชกได้บรรพชาอุปสมบทแล้วไม่นานหลีกออกไปอยู่แต่ผู้เดียว เป็นผู้ตั้งอยู่ด้วยความไม่ประมาท มีความเพียร มีตนส่งไปแล้วอยู่ไม่ช้านานนัก ก็ทำให้แจ้งซึ่งที่สุดพรหมจรรย์ ไม่มีธรรมอื่นยิ่งกว่า ด้วยปัญญาอันยิ่ง ด้วยตนเองในปัจจุบัน เข้าถึงอยู่ รู้ชัดว่าชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้ มิได้มี ท่านสุภัททะได้เป็นอรหันต์รูปหนึ่ง ในจำนวนพระอรหันต์ทั้งหลาย ท่านเป็นสักขิสาวกองค์สุดท้ายของพระผู้มีพระภาค ฯ

จบแล้วจ๊ะ ปฐมสาวกขององค์พระบรมศาสดาอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า คือ พระอัญญาโกฑัญญะ ปัจฉิมสาวกองค์สุดท้ายก็คือ สุภัททะอรหันต์

พุทธะอิสระ

——————————————–

ลิ้งค์จาก : https://www.facebook.com/buddha.isara/posts/pfbid01SX7AbpjVS1G2uLsu562PnhAGM9DJzyKuetMm3wGAHjTy8HVczFNHoSao4QRGG9Ll