มหาปรินิพพานสูตร (ตอนที่ ๑๖)
๓๑ กรกฎาคม ๒๕๖๗
ความเดิมตอนที่แล้วจบลงตรงที่ พระบรมศาสดาทรงกล่าวถึงอัพภูตธรรม ๔ ประการอันมีอยู่ในพระอานนท์ดังนี้
๑. ภิกษุย่อมยินดีเมื่อเห็นพระอานนท์
๒. ภิกษุยินดีเมื่อพระอานนท์แสดงธรรม ภิกษุจะไม่อิ่ม ไม่เบื่อ ในการสดับฟังธรรมนั้นๆ
๓. ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ย่อมยินดีเมื่อเห็นพระอานนท์
๔. อุบาสก อุบาสิกกาย่อมยินดี เมื่อพระอานนท์แสดงธรรม อุบาสกนั้นจะไม่รู้จักอิ่ม ไม่รู้จักเบื่อ ที่จักสดับฟังธรรมนั้นๆ
เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว ท่านพระอานนท์ได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระผู้มีพระภาคอย่าเสด็จปรินิพพานในเมืองเล็กเมืองกันดารดอน กิ่งเมืองนี้เลย นครใหญ่เหล่าอื่นมีอยู่ เช่น เมืองจัมปา เมืองราชคฤห์เมืองสาวัตถี เมืองสาเกต เมืองโกสัมพี เมืองพาราณสี ขอพระผู้มีพระภาคเสด็จปรินิพพานในเมืองเหล่านี้เถิด กษัตริย์มหาศาล พราหมณ์มหาศาล คฤหบดีมหาศาลที่เลื่อมใสอย่างยิ่งในพระตถาคต มีอยู่มากในเมืองเหล่านี้ ท่านเหล่านั้นจักกระทำการบูชาพระสรีระของพระตถาคต ฯ
พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ดูกรอานนท์ เธออย่าได้กล่าวอย่างนี้เธออย่าได้กล่าวว่า เมืองนี้เล็ก เมืองกันดารดอน กิ่งเมืองดังนี้เลย
ดูกรอานนท์เมืองนี้แต่ปางก่อน มีพระเจ้าจักรพรรดิทรงพระนามว่ามหาสุทัสสนะ ผู้ทรงธรรม เป็นพระราชาโดยธรรม เป็นใหญ่ในแผ่นดิน มีมหาสมุทร ๔ เป็นขอบเขต ทรงมีชัยชนะเหนือเมืองในจตุรทิศ มีราชอาณาจักรมั่นคง สมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ
เมืองกุสินารานี้มีนามว่า กุสาวดี เป็นราชธานีของพระเจ้ามหาสุทัสสนะ โดยยาวด้านทิศบูรพาและทิศประจิม ๑๒ โยชน์ โดยกว้างด้านทิศทักษิณและทิศอุดร ๗ โยชน์ กุสาวดีราชธานีเป็นเมืองที่มั่งคั่งรุ่งเรือง มีชนมาก มนุษย์หนาแน่น และมีภิกษาหาได้ง่าย อุดมสมบูรณ์ไปด้วยพืชพันธุ์ธัญญาหาร น้ำดี ดินดี ผู้คนก็มีไมตรี ขยันหมั่นเพียร
ดูกรอานนท์ ที่ชนมักจะกล่าวว่า อาลกมันทาราชธานีแห่งเทพเจ้าทั้งหลาย เป็นเมืองที่มั่งคั่งรุ่งเรือง มีชนมาก ยักษ์หนาแน่น และหาภิกษาหาได้ง่าย แม้ฉันใด
กุสาวดีราชธานีก็ฉันนั้นเหมือนกัน เป็นเมืองที่มั่งคั่งรุ่งเรือง มีชนมาก มนุษย์หนาแน่นและหาภิกษาหาได้ง่าย กุสาวดีราชธานีมิได้เงียบจากเสียงทั้ง ๑๐ ประการ ทั้งกลางวันและกลางคืน คือ เสียงช้าง เสียงม้า เสียงรถ เสียงกลอง เสียงตะโพนเสียงพิณ เสียงขับร้อง เสียงกังสดาล เสียงประโคม และเสียงเป็นที่ ๑๐ ว่าด้วยการเชิญชวนกันบริโภคอาหาร เชิญดื่ม เชิญเคี้ยวกิน
ไปเถิดอานนท์ เธอจงเข้าไปในเมืองกุสินารา แล้วบอกแก่พวกเจ้ามัลละเมืองกุสินาราว่า
ดูกรวาสิฏฐะทั้งหลายพระตถาคตจักปรินิพพานในปัจฉิมยามแห่งราตรีในวันนี้ พวกท่านจงรีบออกไปกันเถิดๆ พวกท่านจะได้ไม่มีความร้อนใจในภายหลังว่า พระตถาคตได้ปรินิพพานในคามเขตของพวกเรา พวกเราไม่ได้เฝ้าพระตถาคตในกาลครั้งสุดท้าย
ท่านพระอานนท์ทูลรับพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคแล้ว นุ่งแล้ว ถือบาตรและจีวรเข้าไปในเมืองกุสินาราลำพังผู้เดียว สมัยนั้น พวกเจ้ามัลละเมืองกุสินารา ประชุมกันอยู่ที่สัณฐาคารด้วยกรณียกิจบางอย่าง
ลำดับนั้น ท่านพระอานนท์เข้าไปยังสัณฐาคารของพวกเจ้ามัลละเมืองกุสินารา ครั้นแล้วได้บอกแก่พวกเจ้ามัลละเมืองกุสินาราว่า
ดูกรวาสิฏฐะทั้งหลาย พระตถาคตจักเสด็จปรินิพพานในปัจฉิมยามแห่งราตรีในวันนี้ พวกท่านจงรีบออกไปเถิดๆ พวกท่านจะได้ไม่มีความร้อนใจในภายหลังว่า พระตถาคตจักปรินิพพานในคามเขตของพวกเรา พวกเราไม่ได้เฝ้าพระตถาคตในกาลเป็นครั้งสุดท้าย
พวกเจ้ามัลละกับโอรส สุณิสาและปชาบดีได้สดับคำนี้ของท่านพระอานนท์แล้ว ต่างองค์ต่างก็เป็นทุกข์เสียพระทัย เปี่ยมไปด้วยความทุกข์ใจ บางพวกสยายพระเกศา ประคองหัตถ์ทั้งสองคร่ำครวญอยู่ ล้มลงกลิ้งเกลือกไปมา ดุจดังบุคคลผู้มีขาอันขาดแล้ว ทรงรำพันว่า พระผู้มีพระภาคจักเสด็จปรินิพพานเสียเร็วนัก พระสุคตจักเสด็จปรินิพพานเสียเร็วนัก พระองค์ผู้เป็นพระจักษุของโลกจักอันตรธานเสียเร็วนัก ฯ
แล้วต่างพากันรีบออกจากสัณฐาคารที่ประชุม กลับไปยังปราสาทของตน เพื่อไปแจ้งข่าวให้แก่ประยูรญาติ ให้รีบออกจากปราสาท เพื่อไปเฝ้าองค์พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย
จบเอาไว้แค่นี้ก่อนนะจ๊ะ
ธรรมดาของผู้ให้ประโยชน์ มิได้เป็นผู้แสวงหาประโยชน์ ย่อมเป็นที่รัก ที่เคารพจากผู้ที่เคยได้ประโยชน์
เจริญธรรม
พุทธะอิสระ
——————————————–