มหาปรินิพพานสูตร (ตอนที่ ๑๑)
๑๓ กรกฎาคม ๒๕๖๗
ความเดิมตอนที่แล้วจบลงตรงที่ ปุกกุสมัลลบุตรได้ถวายผ้าเนื้อละเอียดที่มีสีดังทองสิงคีแด่พระบรมศาสดาให้ทรงครองผืนหนึ่ง ถวายให้พระอานนท์ครองผืนหนึ่ง
ครั้งนั้น ท่านพระอานนท์ เมื่อปุกกุสมัลลบุตรหลีกไปแล้วไม่นาน ได้น้อมคู่ผ้าเนื้อละเอียดมีสีดังทองสิงคี ซึ่งเป็นผ้าทรงนั้นเข้าไปหุ่มพระวรกายของพระผู้มีพระภาค ผ้าที่ท่านพระอานนท์น้อมเข้าไปห่มพระวรกายของพระผู้มีพระภาคนั้น ย่อมปรากฏดังถ่านไฟที่ปราศจากเปลวฉะนั้น
ท่านพระอานนท์ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ น่าอัศจรรย์ เหตุไม่เคยมีมามีแล้ว พระฉวีวรรณของพระตถาคตบริสุทธิ์ผุดผ่องยิ่งนัก คู่ผ้าเนื้อละเอียดมีสีดังทองสิงคี ซึ่งเป็นผ้าทรงนี้ ข้าพระองค์น้อมเข้าไปสู่พระกายของพระผู้มีพระภาค ย่อมปรากฏดังถ่านไฟที่ปราศจากเปลว
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า เป็นอย่างนั้น อานนท์ ในกาลทั้งสองกายของตถาคตย่อมบริสุทธิ์ ฉวีวรรณผุดผ่องยิ่งนัก ในกาลทั้งสองเป็นไฉน คือ ในราตรีที่ตถาคตตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ๑ ในราตรีที่ตถาคตปรินิพพาน ด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ ๑ ในกาลทั้งสองนี้แล กายของตถาคตย่อมบริสุทธิ์ฉวีวรรณผุดผ่องยิ่งนัก
ดูกรอานนท์ ในปัจฉิมยามแห่งราตรีวันนี้แล ความปรินิพพานของตถาคตจักมีในระหว่างไม้สาละทั้งคู่ ในสาลวันอันเป็นที่แวะพักของมัลลกษัตริย์ทั้งหลาย ในเมืองกุสินารา มาเราไปกันเถิด อานนท์ เราจักไปยังแม่น้ำกกุธานที
ท่านพระอานนท์ทูลรับพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคแล้ว ฯ
ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ เสด็จไปยังแม่น้ำกกุธานที ครั้นแล้วเสด็จลงสู่แม่น้ำกกุธานที ทรงสรงพระวรกายแล้ว เสวยแล้ว เสด็จขึ้นไปยังอัมพวัน ตรัสเรียกท่านพระจุนทกะมารับสั่งว่า
ดูกรจุนทกะ เธอจงช่วยปูผ้าสังฆาฏิซ้อนกันเป็นสี่ชั้นให้เรา เราเหน็ดเหนื่อยนัก จักนอนพัก ท่านพระจุนทกะทูลรับพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคแล้ว ปูผ้าสังฆาฏิซ้อนกันเป็นสี่ชั้น
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงสำเร็จสีหไสยา โดยพระตะแคงเบื้องขวา ทรงซ้อนพระบาทเหลื่อมพระบาทมีพระสติสัมปชัญญะ ทรงมนสิการอุฏฐานสัญญา ส่วนท่านพระจุนทกะนั่งเฝ้าอยู่เบื้องพระพักตร์ของพระผู้มีพระภาคในที่นั้นแหละ ฯ
ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกท่านพระอานนท์มารับสั่งว่า
ดูกรอานนท์ บางทีใครๆ จะทำความร้อนใจให้เกิดแก่นายจุนทกัมมารบุตรว่า ดูกรนายจุนทะ มิใช่ลาภของท่าน ท่านได้ทำไม่ดีแล้วเป็นเหตุให้พระตถาคตเสวยบิณฑบาตของท่านเป็นครั้งสุดท้ายเสด็จปรินิพพานแล้ว ดังนี้
ดูกรอานนท์ เธอพึงช่วยบรรเทาความร้อนใจของนายจุนทกัมมารบุตรเสียอย่างนี้ว่า ดูกร นายจุนทะ เป็นลาภของท่าน ท่านได้ดีแล้ว ที่พระตถาคตเสวยบิณฑบาตของท่านเป็นครั้งสุดท้าย เสด็จปรินิพพานแล้ว
เรื่องนี้เราได้ฟังมา ได้รับมาเฉพาะพระพักตร์พระผู้มีพระภาคว่า บิณฑบาตสองคราวนี้ มีผลเสมอๆ กัน มีวิบากเสมอๆ กัน มีผลใหญ่กว่า มีอานิสงส์ใหญ่กว่าบิณฑบาตอื่นๆ ยิ่งนัก บิณฑบาตสองคราวเป็นไฉน คือ ตถาคตเสวยบิณฑบาตใดแล้ว ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ อย่างหนึ่ง ตถาคตเสวยบิณฑบาตใดแล้ว เสด็จปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุอย่างหนึ่ง บิณฑบาตสองคราวนี้ มีผลเสมอๆ กัน มีวิบากเสมอๆ กัน มีผลใหญ่กว่า มีอานิสงส์ใหญ่กว่าบิณฑบาตอื่นๆ ยิ่งนัก กรรมที่นายจุนทกัมมารบุตรได้สร้างไว้ดีแล้ว
เป็นไปเพื่อความเป็นผู้มีอายุยืน
เป็นไปเพื่อวรรณะผ่องใส
เป็นไปเพื่อความสุข
เป็นไปเพื่อความเป็นผู้มียศใหญ่
เป็นไปเพื่อสวรรค์
เป็นไปเพื่อความเป็นใหญ่ยิ่งกว่าหมู่มนุษย์ทั้งหลาย
ดูกรอานนท์ เธอพึงช่วยบรรเทาความร้อนใจของนายจุนทกัมมารบุตร ด้วยคำสรรเสริญเหล่านี้ ฯ
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงเห็นอานิสงส์ในการถวายทานครั้งสุดท้ายของนายจุนทกัมมารบุตรนั้นแล้ว ทรงเปล่งพระอุทานนี้ในเวลานั้นว่า
บุญย่อมเจริญแก่ผู้ให้
เวรย่อมไม่ก่อแก่ผู้สำรวมกาย วาจา ใจอยู่
คนฉลาด มีสติปัญญา ย่อมละกรรมอันลามก ดับได้เสียแล้วซึ่งราคะ โทสะ โมหะ ให้สิ้นไป ฯ
จบเอาไว้แค่นี้ก่อนนะจ๊ะ ไม่มีอะไรจะสรุป ทุกอย่างสมบูรณ์ด้วยธรรมอันยิ่ง
เจริญธรรม
พุทธะอิสระ
——————————————–
อ่านย้อนหลัง : https://www.facebook.com/buddha.isara/posts/pfbid02s4xbqT7zwxjTpaHiTvyv6kK8DETqC5yHCReorbfPuuCHTFp4KQYW67j6PgR6mFDrl