มหาปรินิพพานสูตร (ตอนที่ ๑๐)
๑๑ กรกฎาคม ๒๕๖๗
ความเดิมตอนที่แล้วจบลงตรงที่ พระอานนท์ถือบาตรไปยังแม่น้ำที่ถูกล้อเกวียนบดแล้วมีน้ำน้อย ขุ่นมัวไหลไปอยู่ เมื่อพระอานนท์เข้าไปใกล้ก็กลับใสสะอาด ไม่ขุ่นมัว ด้วยฤทธิ์ของพระบรมศาสดา จึงได้ตักน้ำด้วยบาตรแล้วนำมาถวายให้พระองค์ทรงเสวยน้ำนั้น
ก็สมัยนั้น โอรสเจ้ามัลละนามว่า ปุกกุสะ เป็นสาวกของอาฬารดาบสกาลามโคตร ออกจากเมืองกุสินารา เดินทางไกลไปยังเมืองปาวา
ปุกกุสมัลลบุตรได้เห็นพระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่โคนไม้ต้นหนึ่ง จึงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ครั้นเข้าไปเฝ้าแล้วถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
เมื่อโอรสเจ้ามัลละนามว่า ปุกกุสะ นั่งเรียบร้อยแล้วได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ น่าอัศจรรย์นักสิ่งที่ไม่เคยมีมาแล้วบัดนี้ได้มีขึ้น พวกบรรพชิตส่วนใหญ่ย่อมอยู่ด้วยวิหารธรรม (ธรรมอันเป็นเครื่องอยู่ของจิต) อันสงบหนอ เรื่องเคยมีมาแล้ว อาฬารดาบสกาลามโคตร เดินทางไกล แวะออกจากหนทางนั่งพักกลางวันที่โคนไม้ต้นหนึ่ง ในที่ไม่ไกล ครั้งนั้น เกวียนประมาณ ๕๐๐ เล่ม ได้ผ่านอาฬารดาบสกาลามโคตร ติดกันไปบุรุษคนหนึ่งซึ่งเดินทางตามหลังหมู่เกวียนมา เข้าไปหาอาฬารดาบส กาลามโคตรถึงที่พัก ครั้นเข้าไปหาแล้วถามท่านอาฬารดาบสกาลามโคตรว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญท่านได้เห็นเกวียนประมาณ ๕๐๐ เล่มผ่านไปบ้างหรือ ฯ
อ. ท่านผู้มีอายุ เรามิได้เห็น ฯ
บ. ก็ท่านไม่ได้ยินเสียงหรือ ฯ
เราไม่ได้ยิน ฯ
ท่านหลับหรือ ฯ
เรามิได้หลับ ฯ
ท่านยังมีสัญญาอยู่หรือ ฯ
อย่างนั้น ท่านผู้มีอายุ ฯ
ท่านยังมีสัญญา ตื่นอยู่ ไม่ได้เห็นเกวียนประมาณ ๕๐๐ เล่ม ซึ่งผ่านติดๆ กันไป และไม่ได้ยินเสียง ก็ผ้าของท่านเปรอะเปื้อนไปด้วยธุลีเห็นปานนี้บ้างหรือ ฯ
อย่างนั้น ท่านผู้มีอายุ ฯ
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ลำดับนั้น บุรุษนั้นได้มีความคิดอย่างนี้ว่า น่าอัศจรรย์จริงหนอ เหตุไม่เคยมีมา มีขึ้นแล้ว พวกบรรพชิตย่อมอยู่ด้วยวิหารธรรม (ธรรมอันเป็นเครื่องอยู่ของจิต) อันสงบหนอ ดังที่ท่านผู้ยังมีสัญญาตื่นอยู่ ไม่ได้เห็นเกวียนประมาณ ๕๐๐ เล่ม ซึ่งผ่านติดๆ กันไป และไม่ได้ยินเสียง บุรุษนั้นประกาศความเลื่อมใสอย่างยิ่ง ในอาฬารดาบสกาลามโคตรแล้วจะหลีกไป ฯ
พระผู้มีพระภาคตรัสถามปุกกุสมัลลบุตรว่า ดูกรปุกกุสะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน ผู้ยังมีสัญญาตื่นอยู่ ไม่เห็นเกวียนประมาณ ๕๐๐ เล่ม ซึ่งผ่านติดๆ กันไป และไม่ได้ยินเสียงอย่างหนึ่ง ผู้ที่ยังมีสัญญาตื่นอยู่ เมื่อฝนกำลังตกตกอย่างหนัก ฟ้าลั่นอยู่ ฟ้าผ่าอยู่ มิได้เห็น และไม่ได้ยินเสียง อย่างหนึ่ง ทั้งสองอย่างนี้ อย่างไหนจะทำได้ยากกว่ากัน หรือให้เกิดขึ้นได้ยากกว่ากัน
ปุกกุสมัลลบุตรกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เกวียน ๕๐๐ เล่ม ๖๐๐ เล่ม ๗๐๐ เล่ม ๘๐๐ เล่ม ๙๐๐ เล่ม ๑,๐๐๐ เล่ม ฯลฯ แม้เป็น ๑๐๐,๐๐๐ เล่ม จักกระทำอะไรได้ ผู้ที่ยังมีสัญญาตื่นอยู่ เมื่อฝนกำลังตก ตกอย่างหนัก ฟ้าลั่นอยู่ ฟ้าผ่าอยู่ มิได้เห็นและไม่ได้ยินเสียง อย่างนี้แหละ ทำได้ยากกว่า และให้เกิดขึ้นได้ยากกว่า ฯ
ดูกรปุกกุสะ สมัยหนึ่ง เราอยู่ในโรงกระเดื่องในเมืองอาตุมา สมัยนั้น เมื่อฝนกำลังตก ตกอย่างหนัก ฟ้าลั่นอยู่ ฟ้าผ่าอยู่ ชาวนาสองพี่น้อง และโคพลิพัทสี่ตัวถูกสายฟ้าฟาด ในที่ใกล้โรงกระเดื่อง ลำดับนั้น หมู่มหาชนในเมืองอาตุมา พากันออกมา แล้วเข้าไปหาชาวนาสองพี่น้องนั้น และโคพลิพัทสี่ตัว ซึ่งถูกสายฟ้าฟาด
สมัยนั้นเราออกจากโรงกระเดื่อง จงกรมอยู่ในที่แจ้งใกล้ประตูโรงกระเดื่อง ครั้งนั้น บุรุษคนหนึ่ง ออกมาจากหมู่มหาชนนั้น เข้ามาหาเราครั้นเข้ามาหาแล้ว อภิวาทเราแล้วยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งเราได้กล่าวกะบุรุษนั้นว่า ดูกรท่านผู้มีอายุ หมู่มหาชนนั้นประชุมกันทำไมหนอ ฯ
บ. ข้าแต่ท่านผู้เจริญ เมื่อกี้นี้ เมื่อฝนกำลังตก ตกอย่างหนัก ฟ้าลั่นอยู่ฟ้าผ่าอยู่ ชาวนาสองพี่น้อง และโคพลิพัทสี่ตัวถูกสายฟ้าฟาด หมู่มหาชนประชุมกัน เพราะเหตุนี้ ก็ท่านอยู่ในที่ไหนเล่า ฯ
เราอยู่ในที่นี้เอง ฯ
ก็ท่านไม่เห็นหรือ ฯ
เราไม่ได้เห็น ฯ
ก็ท่านไม่ได้ยินเสียงหรือ ฯ
เราไม่ได้ยิน ฯ
ก็ท่านหลับหรือ ฯ
เราไม่ได้หลับ ฯ
ก็ท่านยังมีสัญญาหรือ ฯ
อย่างนั้น ท่านผู้มีอายุ ฯ
ก็ท่านยังมีสัญญาตื่นอยู่ เมื่อฝนกำลังตก ตกอย่างหนัก ฟ้าลั่นอยู่ ฟ้าผ่าอยู่ ไม่ได้เห็น และ ไม่ได้ยินเสียงหรือ ฯ
อย่างนั้น ท่านผู้มีอายุ ฯ
ดูกรปุกกุสะ ลำดับนั้น บุรุษนั้นได้มีความคิดอย่างนี้ว่า น่าอัศจรรย์จริงหนอเหตุไม่เคยมีมา มีขึ้นแล้ว พวกบรรพชิตย่อมอยู่ด้วยวิหารธรรม (ธรรมอันเป็นเครื่องอยู่ของจิต) อันสงบหนอ ดังที่ท่านผู้ยังมีสัญญาตื่นอยู่ เมื่อฝนกำลังตก ตกอย่างหนัก ฟ้าลั่นอยู่ ฟ้าผ่าอยู่ แต่กลับไม่ได้เห็น และไม่ได้ยินเสียงบุรุษนั้นประกาศความเลื่อมใสอย่างยิ่งในเรา กระทำประทักษิณแล้วจะหลีกไป ฯ
เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว ปุกกุสมัลลบุตรได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์โปรยความเลื่อมใสในอาฬารดาบส กาลามโคตร ลงในพายุใหญ่ หรือลอยเสียในแม่น้ำมีกระแสอันเชี่ยว ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก เปรียบเหมือนบุคคลหงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอกทางแก่คนหลงทาง หรือส่องประทีปในที่มืดด้วยคิดว่า ผู้มีจักษุจักเห็นรูป ดังนี้ ฉันใด พระผู้มีพระภาคทรงประกาศพระธรรมโดยอเนกปริยาย ฉันนั้นเหมือนกัน ข้าพระองค์นี้ขอถึงพระผู้มีพระภาคพระธรรมและพระภิกษุสงฆ์ว่าเป็นสรณะ ขอพระผู้มีพระภาคจงทรงจำข้าพระองค์ว่าเป็นอุบาสก ผู้ถึงสรณะตลอดชีวิต ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ฯ
ลำดับนั้น ปุกกุสมัลลบุตรสั่งบุรุษคนหนึ่งว่า ดูกรพนาย ท่านจงช่วยนำคู่ผ้าเนื้อละเอียดมีสีดังทองสิงคี ซึ่งเป็นผ้าทรงของเรามา บุรุษนั้นรับคำปุกกุสมัลลบุตรแล้ว นำคู่ผ้าเนื้อละเอียดมีสีดังทองสิงคี ซึ่งเป็นผ้าทรงของเขามาแล้ว
ปุกกุสมัลลบุตร จึงน้อมคู่ผ้าเนื้อละเอียดมีสีดังทองสิงคี ซึ่งเป็นผ้าทรงนั้น เข้าไปถวายแด่พระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ คู่ผ้าเนื้อละเอียดมีสีดังทองสิงคีนี้เป็นผ้าทรง ขอพระผู้มีพระภาคจงอาศัยความอนุเคราะห์ ทรงรับคู่ผ้านั้นของข้าพระองค์เถิด
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรปุกกุสะ ถ้าเช่นนั้นท่านจงให้เราครองผืนหนึ่ง ให้อานนท์ครองผืนหนึ่ง
ปุกกุสมัลลบุตรรับพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคแล้ว ยังพระผู้มีพระภาคให้ทรงครองผืนหนึ่ง ให้ท่านพระอานนท์ครองผืนหนึ่ง
พระผู้มีพระภาคทรงยังปุกกุสมัลลบุตรให้เห็นแจ้งในความจริงอันประเสริฐ ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ให้รื่นเริงด้วยธรรมีกถาแล้ว ปุกกุสมัลลบุตร อันพระผู้มีพระภาคทรงให้เห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ให้รื่นเริง ด้วยธรรมีกถาแล้วลุกจากอาสนะ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาค กระทำประทักษิณแล้วหลีกไป ฯ
พระมหาปรินิพพานสูตรตอนนี้ ชี้ให้เราท่านทั้งหลายได้เห็นว่า ผู้มีกายและจิตอันอบรม ตั้งมั่นดีแล้ว ย่อมไม่หวั่นไหวต่อรูป รส กลิ่น เสียง และสัมผัสทั้งหลาย ไม่เว้นแม้แต่เสียงฟ้าร้อง พายุกระหน่ำ หรือสิ่งเร้า เครื่องล่อทั้งหลายที่ถาโถม รุมเร้าเข้ามา
เจริญธรรม
พุทธะอิสระ
——————————————–