มหาปรินิพพานสูตร (ตอนที่ 7)

0
30

มหาปรินิพพานสูตร (ตอนที่ ๗)
๔ กรกฎาคม ๒๕๖๗

ความเดิมตอนที่แล้วจบลงตรงที่ พระบรมศาสดาเสด็จไปยังบ้านภัณฑคาม และทรงกระทำธรรมีกถาแก่หมู่ภิกษุสงฆ์ว่า

สมาธิอันศีลอบรมดีแล้ว ย่อมมีผลใหญ่ มีอานิสงส์ใหญ่

ปัญญาอันสมาธิอบรมดีแล้ว ย่อมมีผลใหญ่ มีอานิสงส์ใหญ่

จิตอันปัญญาอบรมดีแล้วย่อมหลุดพ้นจากอาสวะโดยชอบ คือ กามาสวะ ภวาสวะ อวิชชาสวะ ฯ

ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่เสด็จถึงโภคนครแล้ว พระผู้มีพระภาคทรงเสด็จประทับ ณ อานันทเจดีย์ ในโภคนครนั้น ณ ที่นั้นพระผู้มีพระภาคทรงมีรับสั่งแก่ภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงมหาประเทศ ๔ เหล่านี้แก่พวกเธอจงฟัง จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าว ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคแล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้เมื่อจะกล่าวอย่างนี้ว่า

อาวุโสข้อนี้ข้าพเจ้าได้ฟังมา ได้รับมาเฉพาะพระพักตร์พระผู้มีพระภาคว่า นี้เป็นธรรมนี้เป็นวินัย นี้เป็นคำสั่งสอนของพระศาสดา ดังนี้ พวกเธอไม่พึงชื่นชมไม่พึงคัดค้านคำกล่าวของภิกษุนั้น

ครั้นแล้วพึงเรียนบทอรรถและพยัญชนะเหล่านั้นให้ดี แล้วสอบสวนในพระสูตร ที่เราได้แสดงไว้ดีแล้ว มาเทียบเคียงกับพระวินัย ถ้าสอบสวนในพระสูตร เทียบเคียงในพระวินัยลงกันไม่ได้ เทียบเคียงในพระวินัยลงกับพระสูตรก็ไม่ได้ พึงถึงความตกลงในข้อนี้ว่า นี้มิใช่คำของพระผู้มีพระภาค ภิกษุผู้นั้นจำมาผิดแล้ว ดังนั้น พวกเธอพึงทิ้งคำกล่าวนั้นเสีย

ถ้าเมื่อสอบสวนในพระสูตร เทียบเคียงในพระวินัย ลงในพระสูตรได้ เทียบเคียงในพระวินัยได้ พึงถึงความตกลงในข้อนี้ว่า นี้เป็นคำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาค ภิกษุนี้จำมาถูกต้องแล้ว
ดูกรภิกษุทั้งหลายพวกเธอพึงทรงจำมหาประเทศข้อที่หนึ่งนี้ไว้

สรุปความว่า หลักธรรมในมหาประเทศทั้ง ๔ ต้องสอดคล้องกับพระธรรมและวินัย จึงจักถือว่า นั่นเป็นคำสอนของพระบรมศาสดา

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เมื่อจะกล่าวอย่างนี้ว่า

สงฆ์พร้อมทั้งพระเถระ เป็นผู้ทรงจำปาโมกข์ อยู่ในอาวาสโน้น ข้าพเจ้าได้ฟังมา ได้รับมาเฉพาะหน้าสงฆ์นั้นว่า นี้เป็นธรรม นี้เป็นวินัย นี้เป็นคำสั่งสอนของพระศาสดา ดังนี้ พวกเธอไม่พึงชื่นชมไม่พึงคัดค้านคำกล่าวของภิกษุนั้น

ครั้นแล้วพึงเรียนบทและพยัญชนะเหล่านั้นให้ดี แล้วสอบสวนเทียบเคียงกับพระสูตร ถ้าเมื่อสอบสวนเทียบเคียงกันในพระสูตร เทียบเคียงในพระวินัย เห็นว่าลงในพระสูตรไม่ได้ ลงในพระวินัยก็ไม่ได้ พึงถึงความตกลงในข้อนี้ว่า นี้มิใช่คำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาค ภิกษุสงฆ์นั้นจำมาผิดแล้ว ดังนั้น พวกเธอพึงทิ้งคำกล่าวนั้นเสีย

ถ้าเมื่อสอบสวนในพระสูตร เทียบเคียงในพระวินัย ลงกันได้ พึงถึงความตกลงในข้อนี้ว่า นี้เป็นคำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาค ภิกษุสงฆ์นั้นจำมาถูกต้องแล้ว ดูกรภิกษุทั้งหลายพวกเธอพึงทรงจำมหาประเทศข้อที่สองนี้ไว้ ฯ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เมื่อจะกล่าวอย่างนี้ว่า

ภิกษุผู้เป็นเถระมากรูปอยู่ในอาวาสโน้น เป็นพหูสูต มีอาคมอันมาถึงแล้ว เป็นผู้ทรงธรรมทรงวินัย ทรงมาติกา ข้าพเจ้าได้ฟังมา ได้รับมาเฉพาะหน้าพระเถระเหล่านั้นว่า นี้เป็นธรรม นี้เป็นวินัย นี้เป็นคำสั่งสอนของพระศาสดา ดังนี้ พวกเธอไม่พึงชื่นชม ไม่พึงคัดค้านคำกล่าวของภิกษุนั้น

ครั้นแล้ว พึงเรียนบทอรรถและพยัญชนะเหล่านั้นให้ดีแล้วสอบสวนเทียบเคียงกันในพระสูตร เทียบเคียงกันในพระวินัย ลงในพระสูตรไม่ได้ ลงในพระวินัยก็ไม่ได้ พึงถึงความตกลงในข้อนี้ว่านี้มิใช่คำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาค พระเถระเหล่านั้นจำมาผิดแล้ว ดังนั้น พวกเธอพึงทิ้งคำกล่าวนั้นเสีย

ถ้าเมื่อสอบสวนเทียบเคียงกันในพระสูตรเทียบเคียงกันในพระวินัยแล้วเห็นลงกันได้ในพระสูตรได้ สอดคล้องลงกันได้ในพระวินัย พึงถึงความตกลงในข้อนี้ว่า นี้เป็นคำของพระผู้มีพระภาค และพระเถระเหล่านั้น จำมาถูกต้องแล้ว ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอพึงทรงจำมหาประเทศข้อที่สามนี้ไว้อย่างนี้

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เมื่อจะกล่าวอย่างนี้ว่า

ภิกษุผู้เป็นเถระอยู่ในอาวาสโน้น เป็นพหูสูต มีอาคมอันแก่กล้ามาถึงแล้ว เป็นผู้ทรงธรรม ทรงวินัย ทรงมาติกา ข้าพเจ้าได้ฟังมา ได้รับมาเฉพาะหน้าพระเถระนั้นว่า นี้เป็นธรรมนี้เป็นวินัย นี้เป็นคำสั่งสอนของพระศาสดา ดังนี้ พวกเธอไม่พึงชื่นชม ไม่พึงคัดค้านคำกล่าวของภิกษุนั้น

ครั้นแล้ว พึงเรียนบทและพยัญชนะเหล่านั้นให้ดี แล้วสอบสวนเทียบเคียงกันในพระสูตร เทียบเคียงในพระวินัย หากเมื่อเทียบเคียงในพระวินัย ในพระสูตรลงกันไม่ได้ พึงถึงความตกลงในข้อนี้ว่านี้มิใช่คำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาค และพระเถระนั้นจำมาผิดแล้ว ดังนั้นพวกเธอพึงทิ้งคำกล่าวนั้นเสีย

ถ้าเมื่อสอบสวนเทียบเคียงกันในพระสูตร เทียบเคียงกันในพระวินัยลงกันได้ พึงถึงความตกลงในข้อนี้ว่า นี้เป็นคำของพระผู้มีพระภาค และพระเถระนั้นจำมาถูกต้องแล้ว ดูกรภิกษุทั้งหลายพวกเธอพึงทรงจำมหาประเทศข้อที่สี่นี้ไว้อย่างนี้

ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอพึงทรงจำมหาประเทศทั้ง ๔ เหล่านี้ไว้ ฉะนี้แล ฯ

สรุป

๑. ในมหาประเทศทั้ง ๔ แม้จักอ้างว่าฟังมาจากพระโอษฐ์ แต่ถ้าเทียบเคียงกับพระธรรม พระวินัย แล้วไม่สอดคล้องกัน ถือว่าจำมาผิด

๒. แม้จะได้ยินมา ฟังมาจากปากของพระเถระผู้ทรงธรรม ทรงวินัย แต่ถ้าไม่สอดคล้องกับพระธรรม พระวินัย ก็ให้ถือว่า นั้นไม่ใช่คำสอนของพระบรมศาสดา

๓. แม้จะออกมาจากคณาจารย์ผู้มีวิชาอาคม เป็นพหูสูตร แต่ถ้าขัดแย้ง ไม่สอดคล้องกับพระธรรม พระวินัย ก็ให้ถือว่า นั่นไม่ใช่คำสอนของพระบรมศาสดา

๔. แม้จะอ้างว่านี่เป็นคำสอนของพระมหาเถระ พระอสีติมหาสาวก แต่ถ้าไม่สอดคล้องต่อพระธรรมวินัย ก็ให้ถือว่า นี่ไม่ใช่คำสอนของพระบรมศาสดา

มหาประเทศ ๔ นี้ใช้เป็นหลักการในการปกครองของคณะสงฆ์ และใช้เป็นหลักในการตัดสินว่า ใครมีการกระทำ คำที่พูด สูตรที่คิด สอดคล้องกับพระธรรมวินัยหรือไม่สอดคล้อง

หากสอดคล้องก็ให้ดำรงรักษาไว้ แต่ถ้าไม่สอดคล้องก็ให้เปลี่ยนแปลงนิสัย แก้ไขพฤติกรรมนั้นๆ เสีย

จบเอาไว้แค่นี้ก่อนนะจ๊ะ

เจริญธรรม

พุทธะอิสระ

——————————————–

ลิ้งค์จาก : https://www.facebook.com/buddha.isara/posts/pfbid0shkxev3uKsm4BxJTtM3QTNX5n37f4cmqjm8ciy3tDPeaDsyBbEHmV3RFNEwqrPBfl