มหาปรินิพพานสูตร (ตอนที่ ๖)
๑ กรกฎาคม ๒๕๖๗
ความเดิมตอนที่แล้วจบลงตรงที่ พระบรมศาสดาทรงตรัสเตือนหมู่สงฆ์ อันได้แก่ สติปัฏฐาน ๔ สัมมัปปธาน ๔ อิทธิบาท ๔ อินทรีย์ ๕ พละ ๕ โพชฌงค์ ๗ และมรรคมีองค์ ๘
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคตรัสเตือนภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลายบัดนี้เราขอเตือนพวกเธอ สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมเป็นธรรมดา พวกเธอจงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อม ความปรินิพพานแห่งเราตถาคต จักมีในไม่ช้า โดยล่วงไปอีกสามเดือนแต่นี้ ตถาคตก็จักปรินิพพาน ฯ
พระผู้มีพระภาคครั้นได้ตรัสไวยากรณภาษิตนี้แล้ว จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า
คนเหล่าใด ทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ ทั้งพาลทั้งบัณฑิต ทั้งมั่งมี ทั้งขัดสน ล้วนมีความตายเป็นเบื้องหน้า ภาชนะดินที่นายช่าง หม้อกระทำแล้ว ทั้งเล็กทั้งใหญ่ ทั้งสุกทั้งดิบ ทุกชนิด มีความแตกเป็นที่สุด ฉันใด ชีวิตของสัตว์ทั้งหลายก็ฉันนั้น ฯ
พระศาสดาได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า
วัยของเรา แก่ชรา คร่ำคร่ามากแล้ว ชีวิตของเราเป็นของน้อย ก่อนที่เราจักจากพวกเธอไป เราได้กระทำที่พึ่งแก่ตนไว้ดีแล้ว ดูกรภิกษุทั้งหลายพวกเธอจงเป็นผู้ไม่ประมาท มีสติ มีศีล อันดีเถิด จงเป็นผู้มีความดำริอันชอบตั้งมั่นดีแล้ว ตามระวังรักษาจิตของตนเถิด ผู้ใดเป็นผู้ไม่ประมาท อยู่ในธรรมวินัยนี้ ผู้นั้นจักละชาติและวัฏฏะสงสารเสียได้แล้ว ก็จักกระทำที่สุดแห่งทุกข์ได้ ดังนี้ ฯ
ครั้งนั้น เวลาเช้า พระผู้มีพระภาคทรงนุ่งผ้าสบงดีแล้ว ทรงถือบาตรและจีวร เสด็จเข้าไปยังเมืองเวสาลีเพื่อบิณฑบาต เสด็จเที่ยวบิณฑบาตในเมืองเวสาลีแล้ว เวลาปัจฉาภัต เสด็จกลับจากบิณฑบาต ทอดพระเนตรเมืองเวสาลีเป็นนาคาวโลก แล้วรับสั่งกะท่านพระอานนท์ว่า
ดูกรอานนท์ การเห็นเมืองเวสาลีของตถาคตครั้งนี้ จักเป็นครั้งสุดท้าย มาพวกเราไปกันเถิดอานนท์ เราจักไปยังบ้านภัณฑคาม
ท่านพระอานนท์ทูลรับพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคแล้วตามเสด็จพุทธดำเนิน
ลำดับนั้นพระผู้มีพระภาคพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่เสด็จถึงบ้านภัณฑคาม พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ บ้านภัณฑคามนั้น ณ ที่นั้นแล องค์พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะความไม่รู้แจ้ง แทงตลอดในธรรม ๔ ประการเราและพวกเธอจึงเร่ร่อนท่องเที่ยวไปในวัฏฏะสิ้นกาลนานอย่างนี้ธรรม ๔ ประการนั้นเป็นไฉน
เพราะความไม่รู้แจ้งแทงตลอดในศีลอันเป็นของพระอริยะ (หมายถึง อริยกันตศีล คือ ศีลที่พระอริยเจ้าชอบใจ) เราและพวกเธอจึงเร่ร่อนท่องเที่ยวไปในวัฏฏะสิ้นกาลนาน
เพราะความไม่รู้แจ้งแทงตลอดในสมาธิอันเป็นของพระอริยะ (หมายถึง สัมมาสมาธิ) เราและพวกเธอจึงเร่ร่อนท่องเที่ยวไปในวัฏฏะสิ้นกาลนาน
เพราะความไม่รู้แจ้งแทงตลอดในปัญญาอันเป็นของพระอริยะ (หมายถึง ปัญญาเห็นชอบตามหลักมรรคมีองค์ ๘) เราและพวกเธอจึงเร่ร่อนท่องเที่ยวไปในวัฏฏะสิ้นกาลนาน
เพราะความไม่รู้แจ้งแทงตลอดในวิมุตติอันเป็นของพระอริยะ (หมายถึง ความหลุดพ้นจากเครื่องร้อยรัดทั้งปวง) เราและพวกเธอจึงเร่ร่อนท่องเที่ยวไปในวัฏฏะสิ้นกาลนาน
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราได้รู้แจ้งแทงตลอดศีลอันเป็นอริยะสมาธิอันเป็นของพระอริยะ ปัญญาอันเป็นของพระอริยะ วิมุตติอันเป็นของพระอริยะแล้ว ตัณหาในภพเราจึงถอนเสียได้ เราจึงจักไม่เร่ร่อน แสวงหาแดนเกิดอีกแล้ว
พระผู้มีพระภาคเมื่อประทับ ณ บ้านภัณฑคามนั้นทรงกระทำธรรมีกถานี้แหละเป็นอันมากแก่พวกภิกษุว่า อย่างไรชื่อว่าศีล อย่างไรชื่อว่าสมาธิ อย่างไรชื่อว่าปัญญา และอย่างไรชื่อว่าวิมุตติ
สมาธิอันศีลอบรมดีแล้ว ย่อมมีผลใหญ่ มีอานิสงส์ใหญ่
ปัญญาอันสมาธิอบรมดีแล้ว ย่อมมีผลใหญ่ มีอานิสงส์ใหญ่
จิตอันปัญญาอบรมดีแล้วย่อมหลุดพ้นจากอาสวะโดยชอบ คือ กามาสวะ ภวาสวะ อวิชชาสวะ ฯ
ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ตามความพอพระทัยในบ้านภัณฑคามแล้ว ตรัสเรียกท่านพระอานนท์มารับสั่งว่า
อานนท์เรามาไปกันเถิด เราจักไปยังบ้านหัตถีคาม อัมพคาม ชัมพุคาม และโภคนคร
ท่านพระอานนท์ทูลรับพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคแล้ว ฯ
จบเอาไว้แค่นี้ก่อนนะจ๊ะ เขียนมาถึงแค่นี้ ก็เกิดพุทธานุสติขึ้นจนหู ตา พร่ามัวไปด้วยปีติ อิ่มเอิบ แล้วท่านทั้งหลายที่เป็นผู้อ่าน ผู้ฟัง ผู้ศึกษา จักมีความรู้สึกเช่นไร
เจริญธรรม
พุทธะอิสระ
——————————————–