พระภัททากัจจานาเถรี (พระนางยโสธรา,พระนางพิมพา) ตอนที่ 17

0
24

พระภัททากัจจานาเถรี (พระนางยโสธรา,พระนางพิมพา) ตอนที่ ๑๗
๗ มิถุนายน ๒๕๖๗

ความเดิมตอนที่แล้วจบลงตรงที่ พระเจ้ามหาสุทัสสนะและสุภัททาเทวีทรงถือเอายอดแห่งเทศนาด้วยอมตมหานิพพานที่ได้รับฟังเทศนาจากพระโพธิสัตว์ว่า สังขารนี้ชื่อว่า เที่ยง แม้เท่าเมล็ดงาก็ไม่มีเลย ทุกอย่างไม่เที่ยง มีความแตกดับเป็นธรรมดา ทั้งนั้น แล้วทรงประทานโอวาทแก่มหาชนว่า ท่านทั้งหลายจงให้ทาน จงรักษาศีล จงกระทำอุโบสถกรรม ในมหาสุทัสสนสูตร

ได้ยินว่าในครั้งนั้น พวกราชบุรุษได้จับพวกโจรผู้ตัดช่องย่องเบา ฆ่าผู้คนในหนทาง ฆ่าชาวบ้านเป็นอันมาก นำความเข้าทูลถวายพระเจ้าโกศล.

พระราชารับสั่งให้จองจำพวกโจรเหล่านั้นด้วยเครื่องจำ คือขื่อคา เชือกและโซ่.

ขณะนั้นภิกษุชาวชนบทประมาณ ๓๐ รูป พากันมาเฝ้า ถวายบังคมพระศาสดา รุ่งเช้าออกบิณฑบาตผ่านเรือนจำเห็นพวกโจรเหล่านั้น ขณะกลับจากบิณฑบาต เวลาเย็นพวกภิกษุเหล่านั้นได้เข้าเฝ้าพระตถาคต ทูลถามว่า

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ วันนี้ พวกข้าพระพุทธเจ้าออกบิณฑบาตได้เห็นพวกโจรมากมายที่เรือนจำ ถูกจองจำด้วยขื่อคาและเครื่องจองจำต่างๆ มีเชือก เป็นต้น ต่างต้องได้รับทุกขเวทนาใหญ่หลวงนัก พวกโจรเหล่านั้นไม่สามารถจะตัดเครื่องจองจำเหล่านั้นหนีไปได้ ยังมีเครื่องจองจำอย่างอื่นที่มั่นคงหนักหนาสาหัสกว่าเครื่องจองจำเหล่านั้นอยู่อีกหรือไม่ พระเจ้าข้า.

พระศาสดาตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เครื่องจองจำเหล่านั้นจะชื่อว่าเครื่องจองจำที่มั่นคงใหญ่หลวงหนักหนาสาหัสได้อย่างไร คงไม่สู้เครื่องจองจำคือกิเลส อันได้แก่ ตัณหาความทะยานยากในทรัพย์ ความทะยานยากในโภชนาหารอันมีข้าวเปลือก ความทะยานยากในบุตรภรรยา ความทะยานยากในลาภสักการะ นี่แหละคือเครื่องจองจำที่มั่นคงใหญ่หลวงหนักหนาสาหัสยิ่งกว่าเครื่องจองจำที่ท่านได้เห็นมาตั้งร้อยเท่าพันเท่า

แต่เครื่องจองจำอันมีความทะยานยากในทรัพย์ ความทะยานยากในโภชนาหาร ความทะยานยากในลาภสักการะนี้แม้จักใหญ่หลวง ตัดได้ยากอย่างนี้ บัณฑิตแต่กาลก่อนยังสามารถตัดได้แล้ว ด้วยวิธีหลีกเข้าไปสู่ป่าหิมวันต์ ออกบวช

แล้วทรงนำเรื่องอดีตมาตรัสเล่าว่า

ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในกรุงพาราณสี พระโพธิสัตว์อุบัติในตระกูลคหบดียากจนตระกูลหนึ่ง.

ครั้นเจริญวัยแล้ว บิดาได้ถึงแก่กรรม พระโพธิสัตว์ได้ทำการรับจ้างเลี้ยงมารดา.

ครั้งนั้น มารดาจึงได้ไปสู่ขอธิดาตระกูลหนึ่งมาไว้ในเรือนให้พระโพธิสัตว์ทั้งๆ ที่พระโพธิสัตว์ไม่ต้องการ

ต่อมามารดาของพระโพธิสัตว์นางได้ถึงแก่กรรม.

ฝ่ายภรรยาของพระโพธิสัตว์ต่อมาจึงตั้งครรภ์ พระโพธิสัตว์ไม่รู้ว่านางตั้งครรภ์จึงบอกว่า ดูก่อนน้องหญิง เจ้าจงรับจ้างเขาเลี้ยงชีวิตเถิด ฉันจักออกบวชละ.

นางจึงกล่าวว่า ฉันตั้งครรภ์ เมื่อฉันคลอดแล้ว พี่เห็นเด็กแล้วก็บวชเถิด.

พระโพธิสัตว์ก็รับคำ พอนางคลอดพระโพธิสัตว์จึงกล่าวว่า น้องหญิงคลอดบุตรเรียบร้อยแล้ว พี่จักออกบวชละ.

นางจึงกล่าวว่า จงรอให้ลูกอย่านมเสียก่อนเถิด กาลต่อมานางก็ตั้งครรภ์อีก.

พระโพธิสัตว์ดำริว่า เราคงให้นางยินยอมอนุญาตให้เราออกบวชไม่ได้แล้ว เช่นนี้เราจะไม่บอกกล่าวแก่นาง เราจะหนีไปบวชด้วยตนเองเลย

กาลต่อมา พอตกกลางคืนพระโพธิสัตว์ก็ลุกเดินหนีไป.

ครั้งนั้น เจ้าหน้าที่ผู้ดูแลพระนครได้จับพระโพธิสัตว์นั้นไว้ พระโพธิสัตว์จึงบอกว่า เจ้านาย ข้าพเจ้าเป็นผู้เลี้ยงมารดา โปรดปล่อยข้าพเจ้าเถิด ครั้นเจ้าหน้าที่ปล่อยพระโพธิสัตว์แล้วก็ไปอาศัยในที่แห่งหนึ่ง พอรุ่งเช้าจึงลอบออกทางประตูใหญ่ เดินทางลัดเลาะรอนแรมเข้าสู่ป่าหิมพานต์บวชเป็นฤาษี ไม่ช้านานก็ยังอภิญญาและสมาบัติ ให้เกิด เพลิดเพลินอยู่ด้วยอารมณ์ฌาน.

พระโพธิสัตว์พำนักอยู่ยังป่าหิมวันต์อย่างสุขสำราญปิติ จึงได้เปล่งอุทานว่า เราได้ตัดเครื่องจองจำ คือบุตรภรรยา เครื่องจองจำ คือกิเลสที่ตัดได้ยากยิ่งเห็นปานนี้แล้ว จึงได้กล่าวคาถาว่า :-

เครื่องผูกอันใด ที่ทำด้วยเหล็กก็ดี ทำด้วยไม้ก็ดี ทำด้วยหญ้าปล้องก็ดี ทำด้วยโซ่ตรวน ขื่อคาก็ดี นักปราชญ์จักไม่กล่าวเครื่องผูกนั้นว่า เป็นเครื่องผูกอันมั่นคง ความกำหนัดยินดีในแก้วแหวนเงินทอง และลาภสักการะก็ดี ความ ห่วงใยในบุตรและภรรยาก็ดี.

นักปราชญ์ทั้งหลายกล่าวว่า นั้นเป็นเครื่องผูก เครื่องรัดตรึงอันมั่นคง ทำให้สัตว์ตกต่ำ ย่อหย่อน แก้ได้ยาก แม้เครื่องผูกนั้น นักปราชญ์ผู้มีปัญญาก็ตัดเครื่องผูกเหล่านั้นเสียได้ ไม่มีความห่วงใย ละกามสุข ด้วยการหลีกออกไปเสีย

พระโพธิสัตว์ ครั้นทรงเปล่งอุทานนี้อย่างนี้แล้ว ตั้งมั่นอยู่ในฌาน มีพรหมโลกเป็นที่ไปในเบื้องหน้า

***************

ลูกรัก

คุกที่จองจำ คุมขัง ไม่ว่าจะกี่วัน กี่เดือน กี่ปี ก็มีวันออก
แต่คุกแห่งอารมณ์ จองจำแล้วไม่รู้เมื่อไหร่จะได้ออกมา

**************

ลูกรัก อย่าทำอารมณ์ให้เป็นอาลัย แล้วเราจักไม่มีอะไรในอารมณ์นั้นๆ

**************

ลูกรัก ห้องขังหรือคุกแห่งอารมณ์ มีแต่ตัวเจ้าเท่านั้นที่จะปิดหรือเปิดมันได้ เพราะจิตใจที่เต็มไปด้วยอารมณ์ อันเกิดจากความปรุงแต่งของเรานั่นแหละ คือการสร้างคุกขังตัวเราเอง แต่ถ้าเราปรารถนาที่จะปลดปล่อยตนเอง เรื่องมันก็ไม่ยาก แค่หยุดการปรุงแต่งต่ออารมณ์ทั้งปวง แค่นี้ก็จบแล้ว

ฉะนั้น ถ้ารู้จักวางภาระ รู้จักวางหน้าที่ และไม่ยึดในอารมณ์ รู้จักทำใจให้สว่าง สะอาด และสงบ เราก็สามารถจะพ้นทุกข์ได้

**************

พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประกาศสัจธรรม.

เมื่อจบสัจธรรม ภิกษุบางพวกได้เป็นพระโสดาบัน บางพวกได้เป็นพระสกทาคามี บางพวกได้เป็นพระอนาคามี บางพวกได้เป็นพระอรหันต์.

มารดาในครั้งนั้น ได้เป็น พระนางมหามายา ในครั้งนี้

บิดาได้เป็นพระเจ้าสุทโธทนมหาราช

ภรรยาได้เป็น มารดาพระราหุล

ส่วนบุรุษผู้ละบุตรและภรรยาออกบวช คือ เราตถาคต นี้แล.

จบเอาไว้แค่นี้ก่อนนะจ๊ะ และจงรีบเร่ง ขวนขวาย ที่จะปลดพันธนาการของตนเองให้ได้โดยเร็วไว

เจริญธรรม

พุทธะอิสระ

——————————————–

อ่านย้อนหลัง : https://www.facebook.com/buddha.isara/posts/pfbid037Txbsm7xxnpW1aLjrPdrfe1qp5ur26SwcrxtdAUZuferxDsxdNjBMwVZnkwiUw68l