พระภัททากัจจานาเถรี (พระนางยโสธรา,พระนางพิมพา) ตอนที่ ๓
๒๔ เมษายน ๒๕๖๗
ความเดิมตอนที่แล้วจบลงตรงที่ พระเจ้าสุทโธทนะได้บรรลุโสดาปัตติผล และทรงนิมนต์พระบรมศาสดาและหมู่ภิกษุสงฆ์ให้เสด็จเข้าสู่มหาปราสาท เพื่อถวายขาทนียโภชนียาหารอันประณีต เมื่อเสร็จภัตกิจ นางสนมทั้งปวงยกเว้นพระนางภัททากัจจานาพากันมาถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า
แม้นางพระกำนัลทั้งหลายจะกล่าวทูลเชิญให้เสด็จไปถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า พระนางภัททากัจจานาก็ตรัสว่า ถ้าคุณของเรามีอยู่ในสายพระเนตรของพระลูกเจ้าไซร้ พระลูกเจ้าจักเสด็จมายังสำนักของเราด้วยพระองค์เองโดยที่มิต้องให้เราไปหา เราจักถวายบังคมพระลูกเจ้าก็ต่อเมื่อพระองค์จักเสด็จมาเท่านั้น ครั้นตรัสดังนี้แล้ว ก็มิได้เสด็จไป
กาลต่อมาพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงให้พระราชาถือบาตรตามเสด็จพระพุทธองค์ไปยังที่ประทับของพระนางภัททากัจจานา พร้อมกับพระอัครสาวกทั้งสองแล้วตรัสกับพระอัครสาวกทั้งสองว่า เมื่อพระนางภัททากัจจานามาถวายบังคม พึงปล่อยให้พระนางกระทำตามชอบใจ ไม่พึงกล่าวคำอะไร ๆ แล้วประทับนั่งบนอาสนะที่นางปูลาดไว้ พระนางภัททากัจจานาจึงเสด็จมาเข้าเฝ้าด้วยความคุ้นเคย นางจึงตรงเข้าไปจับข้อพระบาททั้งสองขององค์พระบรมศาสดา แล้วซบพระเศียรบนหลังพระบาทองค์พระบรมศาสดา ถวายบังคมตามพระอัธยาศัย
พระเจ้าสุทโธทนะตรัสถึงเหตุที่พระนางภัททากัจจานาที่กระทำเช่นนี้ก็เพราะมีความรัก เคารพนับถืออย่างยิ่งในพระผู้มีพระภาคเจ้า พระศาสดาจึงทรงตรัสว่า แม้ในอดีตชาติ พระนางภัททากัจจานาก็ทรงเป็นดังนั้น แล้วทรงตรัสเล่าจันทกินรีชาดก ความว่า
ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติในพระนครพาราณสี
พระโพธิสัตว์บังเกิดในกำเนิดกินนรในหิมวันตประเทศ ภรรยาของเธอนามว่า จันทา ทั้งคู่นั้นอาศัยอยู่ที่ภูเขาเงินชื่อว่า จันทบรรพต
ครั้งนั้น พระเจ้าพาราณสีมอบราชสมบัติแก่หมู่อำมาตย์ ทรงผ้าย้อมฝาดสองผืน ทรงสอดพระเบญจาวุธ เข้าสู่ป่าหิมพานต์ลำพังพระองค์เดียว ท้าวเธอเสวยเนื้อที่ทรงล่าได้เป็นกระยาหาร เสด็จท่องเที่ยวไปถึงลำน้ำน้อยๆ สายหนึ่งโดยลำดับ ก็เสด็จขึ้นไปถึงต้นของสายน้ำ ฝูงกินนรที่อยู่ ณ จันทบรรพต เวลาฤดูฝนก็ไม่ลงมา พากันอยู่ที่ภูเขานั่น ถึงฤดูแล้งจึงพากันลงมาเล่นน้ำ
ครั้งนั้น จันทกินนรลงมากับภรรยาของตน เที่ยวเก็บของหอมในที่นั้นๆ กินเกษรดอกไม้เป็นอาหาร นุ่งห่มด้วยสาหร่ายดอกไม้ เหนี่ยวเถาชิงช้า เล่นพลางขับร้องไปพลาง ด้วยเสียงเจื้อยแจ้วจนถึงลำน้ำน้อยสายนั้น หยุดลงตรงที่เป็นคุ้งน้ำกลางใหญ่แห่งหนึ่ง โปรยปรายดอกไม้ลงในน้ำ ลงเล่นน้ำแล้วนุ่งห่มสาหร่ายดอกไม้ จัดแจงแต่งที่นอนด้วยดอกไม้ เหนือหาดทรายซึ่งมีสีดุจดังเพียงแผ่นเงิน ถือขลุ่ยเลาหนึ่ง นั่งเหนือแท่นหินใกล้ที่นอน.
ต่อจากนั้น จันทกินนรก็เป่าขลุ่ยขับร้องด้วยเสียงอันหวานฉ่ำ จันทกินรีก็ฟ้อนรำอันอ่อนเล่นอยู่ในที่ใกล้สามีฟ้อนไปบ้าง ขับร้องไปบ้าง.
พระราชานั้นทรงสดับเสียงของกินนรกินรีนั้น ก็ทรงย่องเข้าไปค่อยๆ ยืนแอบในที่กำบัง ทรงทอดพระเนตรกินนรเหล่านั้น ก็ทรงมีจิตปฏิพัทธ์ในกินรี ทรงดำริว่า จักยิงกินนรนั้นเสียให้ถึงสิ้นชีวิต เราจักได้ชิงเอาตัวกินรีนี้มาเป็นเมีย แล้วทรงยิงจันทกินนรที่กำลังนั่งเป่าขลุ่ยอยู่บนแท่นหิน
จันทกินนรนั้น เธอเจ็บปวดรำพันกล่าวคาถา ๔ คาถาว่า
ดูก่อนนางจันทา ชีวิตของพี่ใกล้จะขาดอยู่แล้ว พี่กำลังหมดเลือด ที่หลั่งไหลออกจากกาย จันทาเอ๋ย พี่เห็นจะละชีวิตไปแม้ในวันนี้ ลมปราณของพี่กำลังจะดับ ชีวิตของพี่กำลังจะจม อับเฉา
ความทุกข์กำลังเผาผลาญหัวใจพี่ พี่ลำบากยิ่งนัก ความโศกของพี่ครั้งนี้ เป็นความโศกยิ่งใหญ่กว่าความโศกอื่นใดที่เคยมีมาด้วย เพราะพี่ยังรัก หลง ห่วงใยเจ้าจันทาผู้จะเศร้าโศกถึงพี่โดยแท้
พี่จะเหี่ยวแห้งเหมือนต้นหญ้าที่ถูกทิ้งไว้บนแผ่นหินร้อน เหมือนต้นไม้มีรากอันขาด พี่จะเหือดหายเหมือนแม่น้ำที่ขาดห้วง ความโศกของพี่ครั้งนี้เป็นความโศกยิ่งใหญ่กว่าความโศกเหล่าอื่น เพราะเหตุแห่งเจ้าจันทาผู้จะเศร้าโศกถึงพี่โดยแท้
น้ำตาของพี่ไหลออกเรื่อยๆ เหมือนน้ำฝนที่ตกลงที่เชิงบรรพตไหลไปไม่ขาดสายฉะนั้น ความโศกของพี่ครั้งนี้เป็นความโศกยิ่งใหญ่กว่าความโศกเหล่าอื่น เพราะเหตุแห่งเจ้าจันทาผู้จะเศร้าโศกถึงพี่โดยแท้.
พระมหาสัตว์คร่ำครวญด้วยคาถาสี่เหล่านี้ นอนเหนือที่นอนดอกไม้นั่นเอง ชักดิ้นสิ้นสติไปในทันที
ฝ่ายพระราชายังคงยืนอยู่.
จันทากินรี เมื่อพระมหาสัตว์รำพัน กำลังเพลิดเพลินด้วยความรื่นเริงของตน มิได้รู้ว่า สามีกินนรของเธอถูกยิง แต่ครั้นเมื่อเห็นเธอไร้สัญญานอนดิ้นไป ก็ใคร่ครวญว่า ทุกข์ของสามีเราเป็นอย่างไรหนอ พอเห็นเลือดไหลออกจากปากแผล ก็ไม่อาจสะกดกลั้นความโศกอันมีกำลังที่เกิดขึ้นในสามีที่รักไว้ได้ ร่ำไห้ด้วยเสียงดัง.
พระราชาทรงดำริว่า กินนรคงตายแล้ว จึงปรากฏพระองค์ออกมา จันทาเห็นท้าวเธอหวั่นใจว่าโจรผู้นี้คงยิงสามีที่รักของเราจึงหนีไปอยู่บนยอดเขา พลางบริภาษพระราชา
โดยได้กล่าวคาถา ๕ คาถา ดังนี้
พระราชบุตรใด ยิงสามีผู้เป็นที่ปรารถนาของเรา เพื่อให้เป็นหม้ายที่ชายป่า พระราชบุตรนั้นเป็นคนเลวทรามแท้ สามีของเรานั้นถูกยิงแล้วนอนอยู่ที่พื้นดิน
พระราชบุตรเอ๋ย มารดาของท่านจงได้รับสนองความโศกในดวงหทัย ดุจดังความโศกที่เกิดขึ้นในดวงหทัยของข้าผู้เพ่งมองดูกินนรผู้สามีนี้ชักดิ้น กำลังมอดม้วย
ชายาของท่านจงได้รับสนองความโศกในดวงหทัยของข้าดุจดังที่ข้าเพ่งมองดูกินนรผู้สามีนี้กำลังจากข้าไปมิวันกลับ
พระราชบุตรเอ๋ย ท่านได้ฆ่ากินนรผู้ไม่ประทุษร้าย เพราะความรักใคร่ในเรา ขอมารดาของท่านจงถึงความวิบัติ อย่าได้พบเห็นบุตรและสามีอีกเลยตลอดชีวิต
ท่านได้ฆ่ากินนรีผู้ไม่ประทุษร้าย เพราะความรักใคร่ในเรา ขอชายาของท่านจงถึงความวิบัติ จงอย่าได้พบเห็นบุตรและสามีอีกเลยตลอดชีวิต
พระราชา ครั้งได้สดับคำสาปแช่งสารพัดอย่างเสียใจเช่นนั้น เมื่อจะตรัสปลอบนางผู้ยืนร่ำไห้เหนือยอดภูเขาด้วย ๕ คาถา
จึงตรัสคาถาว่า
ดูก่อนนางจันทา ผู้มีนัยน์ตาเบิกบานดังดอกไม้ในป่า เธออย่าร้องไห้ไปเลย เธอจักได้เป็นอัครมเหสีของเรา มีเหล่านารีในราชสกุลบูชาคอยรับใช้
นางจันทากินรีฟังคำของท้าวเธอแล้วกล่าวว่า ท่านพูดอะไร
เมื่อจะบันลือสีหนาท จึงกล่าวคาถาต่อไปว่า
ถึงแม้ว่าเราจักต้องตาย แต่เราจักไม่ขอยอมเป็นมเหสีของท่านผู้ฆ่ากินนรสามีของเรา ผู้มิได้ประทุษร้ายแก่ผู้ใด
ท้าวเธอฟังคำของนางแล้วหมดความรักใคร่ ตรัสคาถาต่อไปว่า
แน่ะนางกินรีผู้ขี้ขลาด มีความรักใคร่ต่อชีวิต เจ้าจงไปสู่ป่าหิมพานต์เถิด มฤคอื่นๆ ที่บริโภคกฤษณาและกระลำพักของหอมอื่นๆ อาจจักยังรักใคร่ยินดีต่อเจ้า.
ท้าวเธอได้กล่าวกะนางว่า เธอจงอย่าได้มาสาปแช่งในราชตระกูลของเราอยู่เลย
ครั้นตรัสอย่างนี้แล้ว จึงเสด็จหลีกไปอย่างหมดเยื่อใย.
นางทราบว่าท้าวเธอไปแล้ว ก็ลงมากอดพระมหาสัตว์ อุ้มขึ้นสู่ยอดภูเขา ให้นอนเหนือยอดภูเขา ยกศีรษะวางไว้เหนือตักของตน พลางพร่ำไห้เป็นกำลัง
จึงกล่าวคาถา ๑๒ คาถาว่า
ข้าแต่กินนร ผู้ภัสดา ภูเขาเหล่านั้น ซอกเขาเหล่านั้นและถ้ำเหล่านั้นตั้งอยู่ ณ ที่นั้น ฉันไม่เห็นท่านในที่นั้นๆ จะกระทำอย่างไร
ข้าแต่กินนร เมื่อหม่อมฉันไม่เห็นท่านที่เทือกเขาซึ่งเราเคยร่วมอภิรมย์กัน จะกระทำอย่างไร
ข้าแต่กินนร เมื่อหม่อมฉันไม่เห็นท่านที่แผ่นผาอันลาดด้วยใบไม้เป็นที่น่ารื่นรมย์ พวกมฤคร้ายกล้ำกราย จะทำอย่างไร
ข้าแต่กินนร เมื่อหม่อมฉันไม่เห็นท่านที่แผ่นผาอันลาดด้วยดอกไม้ เป็นที่น่ารื่นรมย์ พวกมฤคร้ายกล้ำกราย จะทำอย่างไร
ข้าแต่กินนร เมื่อหม่อมฉันไม่เห็นท่านที่ลำธารอันมีน้ำใสไหลอยู่เรื่อยๆ มีกระแสเกลื่อนกล่นไปด้วยดอกโกสุม จะกระทำอย่างไร
ข้าแต่กินนร เมื่อหม่อมฉันไม่เห็นท่านที่ยอดเขาหิมพานต์อันมีสีเขียว น่าดูน่าชม จะกระทำอย่างไร
ข้าแต่กินนร เมื่อหม่อมฉันไม่เห็นท่านที่ยอดเขาหิมพานต์มีสีเหลืองอร่าม น่าดูน่าชม จะกระทำอย่างไร
ข้าแต่กินนร เมื่อหม่อมฉันไม่เห็นท่านที่ยอดเขาหิมพานต์อันมีสีแดง น่าดูน่าชม จะกระทำอย่างไร
ข้าแต่กินนร เมื่อหม่อมฉันไม่เห็นท่านที่ยอดเขาหิมพานต์อันสูงตระหง่าน น่าดูน่าชม จะกระทำอย่างไร
ข้าแต่กินนร เมื่อหม่อมฉันไม่เห็นท่านที่ยอดเขาหิมพานต์อันมีสีขาว น่าดูน่าชม จะกระทำอย่างไร
ข้าแต่กินนร เมื่อหม่อมฉันไม่เห็นท่านที่ยอดเขาหิมพานต์อันงามวิจิตร น่าดูน่าชม จะกระทำอย่างไร
ข้าแต่กินนร เมื่อหม่อมฉันไม่เห็นท่านที่เขาคันธมาทน์ อันดารดาษไปด้วยยาต่างๆ เป็นถิ่นที่อยู่ของหมู่เทพเจ้า จะกระทำอย่างไร
ข้าแต่กินนร เมื่อหม่อมฉันไม่เห็นท่านที่ภูเขาคันธมาทน์ อันดารดาษไปด้วยโอสถทั้งหลาย จะกระทำอย่างไร.
นางร่ำไห้ด้วยคาถาสิบสองบทด้วยประการฉะนี้แล้ว วางมือลงตรงอุระพระมหาสัตว์ รู้ว่ายังอุ่นอยู่ ก็คิดว่า กินนรจันท์ยังมีชีวิตเป็นแน่ เราต้องกระทำการเพ่งโทษเทวดา ให้ชีวิตของเธอคืนมาเถิด.
แล้วได้กระทำการเพ่งโทษเทวดาว่า เทพเจ้าที่ได้นามว่าท้าวโลกบาลน่ะไม่มีเสียหรือไรเล่า หรือหลบไปเสียหมดแล้ว หรือตายหมดแล้ว ช่างไม่ดูแลผัวรักของข้าเสียเลย.
ด้วยแรงโศกของนาง พิภพท้าวสักกะเกิดร้อน. ท้าวสักกะทรงดำริทราบเหตุนั้น แปลงเป็นพราหมณ์ถือกุณฑีน้ำมาหลั่งรดพระมหาสัตว์. ทันใดนั้นเองพิษจากลูกศรก็หายสิ้น แผลก็หายสิ้นเต็ม แม้แต่รอยที่ว่าถูกยิงก็มิได้ปรากฏ.
พระมหาสัตว์เมื่อฟื้นคืนสติจึงลุกขึ้นได้ จันทาเห็นสามีที่รักหายจากพิษแห่งลูกศร แสนจะดีใจ ไหว้แทบเท้าของท้าวสักกะ
กล่าวคาถาเป็นลำดับว่า
ข้าแต่ท่านพราหมณ์ผู้เป็นเจ้า ฉันขอไหว้เท้าทั้งสองของท่านผู้มีความเอ็นดู มารดาสามีผู้ที่ดิฉันซึ่งเป็นกำพร้าปรารถนายิ่งนักด้วยน้ำอมฤต ดิฉันได้ชื่อว่าเป็นผู้พร้อมเพรียงด้วยสามีผู้เป็นที่รักยิ่งแล้ว.
ท้าวสักกะได้ประทานโอวาทแก่กินนรทั้งคู่นั้นว่า ตั้งแต่บัดนี้ เธอทั้งสองอย่าลงจากจันทบรรพตไปสู่ถิ่นมนุษย์เลย จงพากันอยู่ที่นี้เท่านั้นนะ ครั้นแล้วก็เสด็จไปสู่สถานที่ของท้าวเธอ.
ฝ่ายจันทากินรีก็กล่าวว่า เสด็จพี่เจ้าเอ๋ย เราจะต้องการอะไรด้วยสถานที่อันมีภัยรอบด้านนี้เล่า มาเถิดเพค่ะ เราพากันไปสู่จันทบรรพตอันเป็นที่ปลอดภัยกันเถิดเพคะ แล้วกล่าวคาถาสุดท้ายว่า
บัดนี้ เราทั้งสองจักเที่ยวไปสู่ลำธารอันมีกระแสสินธุ์อันเกลื่อนกล่นด้วยดอกโกสุม ดารดาษไปด้วยบุบผชาติต่างๆ เราทั้งสองจะกล่าววาจาเป็นที่รักแก่กันและกัน.
พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น แม้ในครั้งก่อนนางภัททากัจจานา (พิมพาเทวี) ก็ไม่ได้เอาใจออกห่างเรา มิใช่หญิงที่ผู้อื่นจะนำไปได้เหมือนกัน
ทรงประชุมชาดกว่า
พระราชาในครั้งนั้น ได้มาเป็น เทวทัต
ท้าวสักกะได้มาเป็น อนุรุทธะ
จันทากินรีได้มาเป็น มารดาเจ้าราหุล
ส่วนจันทกินนรได้มาเป็น เราตถาคต แล.
องค์พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสแสดงพระชาดกเรื่อง จันทกิรี จบลงแล้ว พระนางภัททากัจจานา (พิมพา) ได้บรรลุพระโสดาบัน แล้วองค์พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงเสด็จกลับไปยังที่ประทับ
จบแล้วจ้า พระชาดกเรื่องนี้ แสดงให้เห็นว่า ผู้ใดหากมีความรัก ความเคารพ ความซื่อสัตย์ตั้งมั่น
ย่อมกลายเป็นอำนาจ พลัง ตบะ ข่มเสียได้ ซึ่งแม้แต่เทพยดาในชั้นกามาวจรภูมิ
เจริญธรรม
พุทธะอิสระ
——————————————–