พระสิงคาลมาตาเถรี (ตอนที่ ๑)
๒๔ มีนาคม ๒๕๖๗
สิงคาลมาตาเถรี เกิดในตระกูลเศรษฐี ในกรุงราชคฤห์ เดิมมีชื่ออย่างไร ไม่ปรากฏ เมื่อเจริญวัยได้แต่งงาน กับชายหนุ่มผู้มีชาติตระกูล และทรัพย์เสมอกันอยู่ที่ ๔๐ โกฏิ ต่อมานางได้มีบุตรคนหนึ่ง ชื่อว่า สิงคาลกุมาร เพราะเหตุนั้น ชนทั้งหลายจึงเรียกนางว่า สิงคาลมารดา
คฤหบดีผู้เป็นบิดาสิงคาลกุมารนั้น ถึงความเชื่อมั่นในพระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นอุบาสกผู้บรรลุโสดาบัน แต่บุตรของเขาไม่มีศรัทธา ไม่เลื่อมใส.
ครั้งนั้น มารดาและบิดาก็ได้สั่งสอนบุตรนั้นอยู่เนืองๆ อย่างนี้ว่า นี่แน่ลูก ลูกเอ๋ยจงเข้าไปเฝ้าพระศาสดา เข้าไปหาพระธรรมเสนาบดีสารีบุตร พระมหาโมคคัลลานะ พระมหากัสสปะพระมหาสาวกทั้ง ๘๐ องค์ ดูบ้าง เผื่อว่าชีวิตของลูกจักได้มีปัญญาเห็นอริยสัจจะกับเขาบ้าง
แต่สิงคาลกุมารนั้นก็กล่าวว่า แม่จ้า พ่อจ้า การเข้าไปหาสมณะทั้งหลายย่อมไม่มีประโยชน์แก่ฉัน ด้วยเพราะการเข้าไปหาสมณะทั้งหลายก็ต้องไหว้เมื่อก้มลงไหว้หลังก็เจ็บ อีกทั้งเข่าก็ด้าน จำเป็นต้องนั่งบนพื้นดิน เมื่อนั่งบนพื้นดินนั้น ผ้าก็จะเปื้อน เมื่อต้องนำผ้าไปซักล้างบ่อยๆ ผ้านุ่งผ้าห่มนั้นก็จะเก่า นับแต่เวลานั่งใกล้ ย่อมมีการสนทนาเมื่อมีการสนทนา ย่อมเกิดความคุ้นเคย แล้วก็ต้องนิมนต์มายังเรือนเพื่อถวายจีวรและบิณฑบาตรเป็นต้น เมื่อเป็นเช่นนั้น ทรัพย์ของเราย่อมเสื่อม การเข้าไปหาพวกสมณะดูจะไม่มีประโยชน์แก่ลูกเลย
มารดาบิดาแม้จะสอนบุตรของเขามาตลอด แต่ก็ไม่สามารถจะนำบุตรชายให้เข้าไปใกล้พระศาสนาไม่
ต่อมา บิดาของเขาเมื่อป่วยใกล้จะตาย นอนอยู่บนเตียงด้วยความห่วงใยบุตรชายที่ยังมีมิจฉาทิฐิ จึงครุ่นคิดว่า เราควรจะให้โอวาทแก่บุตรของเรา แล้วคิดต่อไปว่า เราจักให้โอวาทแก่บุตรอย่างนี้ว่า นี่แน่ลูก ลูกจงทำการนอบน้อมอยู่ในทิศทั้งหลายทั้งเช้าเย็น ลูกจักได้มีความเจริญในโภคทรัพย์อยู่นานเท่านาน เมื่อเขาไม่รู้ความหมายที่แท้จริง อีกทั้งเป็นคำสอนของบิดาก่อนตาย จะต้องรับคำตามคำสอนนั้นด้วยการน้อมอยู่แต่ในทิศทั้งหลาย
เมื่อพระศาสดาหรือพระสาวกทั้งหลายผ่านมา เห็นพฤติกรรมของเขาแล้ว ก็จักถามว่า เธอทำอะไร แต่นั้นบุตรเราก็จักกล่าวว่า บิดาของข้าพเจ้าสอนไว้ว่าเจ้าจงกระทำการนอบน้อมทิศทั้งหลาย เพื่อความมั่นคงของโภคทรัพย์ ลำดับนั้น พระศาสดาหรือพระสาวกทั้งหลาย จักแสดงธรรมแก่เขาว่า บิดาของเธอคงจักไม่ได้ให้เธอเอาแต่นอบน้อมอยู่แต่ในทิศเท่านั้น แต่จักให้เธอนอบน้อมทิศทั้งหลายด้วยการปฏิบัติตน เพื่อแสดงความนอบน้อม เมื่อบุตรชายของเรารู้ถึงความนัยของการนอบน้อมก็จักบำเพ็ญบุญดังนี้
ลำดับนั้น คฤหบดีผู้ใกล้ตายจึงให้คนเรียกบุตรชายมาแล้วกล่าวว่านี่แน่ลูกรัก ลูกควรลุกแต่เช้าตรู่แล้วเดินไปสู่ท่าน้ำ ทำผม และเสื้อผ้าให้เปียก แล้วทำการนอบน้อมอยู่แต่ในทิศทั้งหลาย จนกว่าผมและผ้านุ่งผ้าห่มแห้งสนิทเพื่อให้โภคทรัพย์ของเราตั้งมั่นอยู่เนินนาน
เจ้าจงกระทำอยู่เช่นนี้ทุกวันในเวลาเช้า – เย็น จนตลอดชีวิต
ธรรมดาถ้อยคำของบิดาที่สั่งไว้ก่อนที่จะตาย ย่อมเป็นถ้อยคำอันบุตรพึงระลึกถึงจนตลอดชีวิต เมื่อสิงคาลมานพรับคำบิดาที่สั่งเสียเอาไว้แล้ว บิดาผู้เป็นพระโสดาบัน ก็ได้ถึงกาลกิริยาไปบังเกิดอยู่ในสวรรค์ชั้นกามาวจรภพ
ส่วนสิงคาลมานพ ก็ได้ตั้งตนให้อยู่ในโอวาทของบิดาอย่างเคร่งครัดโดยการปฏิบัติไหว้ทิศทั้ง ๖ เป็นประจำ ทุกวัน คือ
๑. ทิศเบื้องหน้า (ทิศตะวันออก)
๒. ทิศเบื้องขวาง (ทิศใต้)
๓. ทิศเบื้องหลัง (ทิศตะวันตก)
๔. ทิศเบื้องซ้าย (ทิศเหนือ)
๕. ทิศเบื้องล่าง
๖. ทิศเบื้องบน
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเวฬุวัน เขตพระนครราชคฤห์ สมัยนั้น สิงคาลกคฤหบดีบุตรลุกขึ้นแต่เช้า ออกจากกรุงราชคฤห์ ไปยังท่าน้ำคงคา มีผ้าชุ่ม มีผมเปียก ประคองอัญชลี นอบน้อมไปในทิศทั้งหลายอันมี ทิศเบื้องหน้า ทิศเบื้องขวา ทิศเบื้องหลัง ทิศเบื้องซ้าย ทิศเบื้องล่าง ทิศเบื้องบน ฯ
ซึ่งในเช้าวันนั้น องค์พระผู้มีพระภาคทรงครองอันตรวาสกแล้ว ทรงถือบาตรและจีวรเสด็จเข้าไปบิณฑบาตยังกรุงราชคฤห์ ได้ทอดพระเนตรเห็นสิงคาลกคฤหบดีบุตร มีผ้าชุ่ม มีผมเปียก ประคองอัญชลี นอบน้อมทิศทั้งหลายอยู่เช่นนั้น จึงได้ทรงตรัสถามขึ้นว่า
ดูกรคฤหบดีบุตร ท่านลุกขึ้นแต่เช้า ออกจากกรุงราชคฤห์ มายังริมฝั่งน้ำ นำตัวเองลงไปแช่น้ำ มีผ้าชุ่ม มีผมเปียก แล้วขึ้นมายืนประคองอัญชลีนอบน้อมอยู่ในทิศทั้งหลายอยู่เช่นนี้ เพราะเหตุอะไรหนอ
สิงคาลกคฤหบดีบุตรทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ บิดาของข้าพระองค์เมื่อใกล้จะตายได้สั่งไว้อย่างนี้ว่า ลูกเอ๋ย หากเจ้าต้องการให้โภคทรัพย์ที่มีอยู่ยั่งยืน มั่นคง เจ้าพึงทำการนอบน้อมอยู่ในทิศทั้งหลาย ข้าพระองค์ จึงลุกขึ้นมาสักการะ เคารพ นับถือ บูชาในทิศทั้งหลายตามคำสั่งของบิดา โดยมีผ้าชุ่มน้ำ มีผมเปียก ประคองอัญชลี นอบน้อมอยู่ในทิศทั้งหลายอันมี ทิศเบื้องหน้า ทิศเบื้องขวา ทิศเบื้องหลัง ทิศเบื้องซ้าย ทิศเบื้องล่าง ทิศเบื้องบนอยู่
องค์พระบรมศาสดาทรงสดับดังนั้น จึงทรงรู้ได้ทันทีว่า บิดาของสิงคาลมานพผู้นี้เป็นพระอริยบุคคล คงคิดจักสั่งสอนให้บุตรชายกระทำการใดๆ ด้วยพฤติกรรมคล้ายคนโง่เขลา เพื่อรอให้เราหรือพระสาวกองค์ใดองค์หนึ่งมาอธิบายในการนอบน้อมอยู่ในทิศทั้ง ๖ ว่าควรทำเช่นไรจึงจักเจริญ
องค์พระบรมศาสดาจึงทรงตรัสว่า ดูกรคฤหบดีบุตร ในพระธรรมวินัยของเราตถาคต เขาจักไม่นอบน้อมทิศ ๖ กันอย่างนี้
สิงคาลกคฤหบดีบุตร จึงกล่าวว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ในพระธรรมวินัยของพระอริยเจ้าของพระองค์ทำการนอบน้อมทิศ ๖ กันอย่างไร ขอจงทรงประทานโอวาส ขอพระผู้มีพระภาคจงทรงแสดงธรรมขยายความแก่ข้าพระองค์ ตามที่มีสอนอยู่ในพระธรรมวินัยของพระอริยเจ้าท่านสอนให้นอบน้อมในทิศทั้ง ๖ กันอย่างไร
จบเอาไว้แค่นี้ก่อนนะจ๊ะ โปรดติดตามตอนต่อไป
พุทธะอิสระ
——————————————–