พระภัททกาปิลานีเถรี (ตอนที่ ๗)
๒๐ มีนาคม ๒๕๖๗
ความเดิมตอนที่แล้วจบลงตรงที่ ปุโรหิตและเหล่าอำมาตย์ได้ยกพระราชธิดาและพระราชสมบัติให้อภิเษกกับพระกุมาร เพื่อขึ้นครองราชย์ ณ กรุงพาราณสี
ครั้งกาลเวลาผ่านไป วันหนึ่งพระเทวีเห็นมหาสมบัติของพระราชาแล้ว ทรงปรารภแก่พระสวามีว่า ข้าแต่องค์สมมติเทพ ในอดีตกาลพระองค์คงได้ทรงศรัทธาต่อพระพุทธทั้งหลาย ได้ทรงกระทำกรรมดีไว้ในอดีต มาในชาตินี้จึงทรงได้มหาสมบัติเช่นนี้ แต่ในชาติปัจจุบันนี้ ยังไม่ทรงกระทำกุศลที่จะเป็นปัจจัยแก่อนาคตเพิ่มขึ้นอีกหรือเพคะ
พระราชาตรัสว่า เจ้าจักให้เราทำกุศลแก่ใคร เรายังไม่เห็นผู้มีศีล ปรากฎในเมืองนี่สักคน
พระเทวีทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ ชมพูทวีปคงไม่ว่างจากพระอรหันต์ทั้งหลายดอก ขอพระองค์โปรดทรงตระเตรียมทานไว้เท่านั้น หม่อมฉันจะอาราธนาพระอรหันต์ให้มารับมหาทานจากพระองค์ในวันต่อไปเพคะ
พระราชาทรงสดับเช่นนั้น จึงมีพระทัยยินดี ทรงมีรับสั่งให้ชาวพนักงานตระเตรียมขาทนียโภชนียาหารอันเลิศไว้ที่ประตูเมืองด้านทิศปราจีน
ขณะนั้นพระเทวีทรงอธิษฐาน ปฏิบัติพระองค์ให้ตั้งมั่นอยู่ในองค์อุโบสถศีลแต่เช้าตรู่ ทรงบ่ายหน้าไปทางทิศตะวันออกหมอบลงบนภาคพื้นปราสาทชั้นบนแล้วทรงตั้งสัจจะอธิษฐานว่า ถ้าพระอรหันต์มีอยู่ในทิศนี้ พรุ่งนี้ขอนิมนต์มารับภิกษาหารของข้าพเจ้าทั้งหลายด้วยเถิด
ปรากฎว่าในทิศนั้นไม่มีพระอรหันต์มาปรากฎ พระนางก็ได้ให้แจกจ่ายสักการะที่เตรียมไว้นั้นแก่คนกำพร้า คนยาจก และคนอนาถาเสียสิ้น
ในวันรุ่งขึ้นทรงตระเตรียมขาทนียโภชนียาหารอันเลิศไว้ทางประตูทิศใต้แล้วได้อธิษฐานอาราธนาเหมือนเดิม แต่ก็ไม่มีพระอรหันต์มาปรากฎในทิศใต้นั้นเลย จึงทรงให้แจกจ่ายมหาทานที่เตรียมไว้นั้นแก่ชนผู้ยากเข็ญทั้งหลาย
ในวันรุ่งขึ้นทางประตูทิศตะวันตกก็เช่นเดียวกัน ทรงให้ตระเตรียมขาทนียโภชนียาหารอันเลิศเอาไว้ แต่ก็ไร้วี่แววของพระอรหันต์มารับมหาทานนั้นไม่ จึงทรงให้แจกมหาทานนั้นแก่คนผู้ยากไร้จนหมดเกลี้ยง
ในวันต่อมาทรงตระเตรียมขาทนียโภชนียาหารอันเลิศ เอาไว้ทางประตูทิศเหนือ
ขณะนั้นพระมหาปทุมปัจเจกพุทธเจ้าผู้เป็นพี่ชายของพระปัจเจกพุทธเจ้า ๕๐๐ องค์ ผู้เป็นโอรสของพระนางปทุมวดี สถิตอยู่ในป่าหิมพานต์ ทรงรับรู้ด้วยข่ายพระญาณว่า พระเทวีตั้งความปรารถนาจักให้องค์ราชาพาราณสี ถวายมหาทาน จึงทรงเรียกพระปัจเจกพุทธเจ้าผู้เป็นน้องชาย ๔๙๙ พระองค์มาประชุมแล้วแจ้งเหตุที่พระเทวี อธิษฐานจิตนิมนต์พระอรหันต์ ผู้สถิตอยู่ในทิศเหนือให้ไปรับมหาทาน ณ ประตูเมืองทางทิศเหนือ
ข้อความที่พระมหาปทุมปัจเจกพุทธเจ้าแจ้งแก่บรรดาน้องๆ ปัจเจกพุทธเจ้าให้ได้ทราบนั้น คือ ท่านผู้นิรทุกข์ทั้งหลาย บัดนี้พระเจ้านันทราชผู้ปรารถนาทิพยสมบัติ ต้องการถวายทานแด่พระอรหันต์ พระเทวีจึงสมาทานศีล ๘ แล้วตั้งสัจจะอธิษฐานนิมนต์พระอรหันต์ ผู้สถิตอยู่ในทิศทั้ง ๔ ท่านทั้งหลาย ท่านจงรับนิมนต์ของท้าวเธอเถิด
พระปัจเจกพุทธเจ้าเหล่านั้นรับนิมนต์แล้ว ในวันรุ่งขึ้นเมื่อชำระร่างกาย ณ ริมสระอโนดาตแล้วนุ่งสบง ทรงจีวร สะพายบาตร แล้วจึงเหาะไปสู่พระนครพาราณสีด้านประตูเมืองทางทิศเหนือ
เหล่าชนทั้งหลาย เห็นเช่นนั้นจึงกราบทูลแก่พระราชาว่า ข้าแต่สมมติเทพ พระปัจเจกพุทธเจ้า ๕๐๐ องค์ มาแล้วพระเจ้าข้า พระราชาเสด็จ ไปพร้อมกับพระเทวี ทรงไหว้แล้วรับบาตรนิมนต์พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายขึ้นสู่ปราสาท ถวายทานแก่พระปัจเจกพุทธเจ้าเหล่านั้น ด้านโภชนาหารอันเลิศ ในเวลาเสร็จภัตตกิจ พระราชาทรงหมอบที่ใกล้เท้าพระสังฆเถระ
พระเทวีหมอบที่ใกล้เท้าพระสังฆนวกะ แล้วกล่าวว่า ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้าทั้งหลาย ข้าพเจ้าทั้งหลายขออาราธนาท่านทั้งหลายเสด็จสถิตสถาพรอยู่ในพระราชอุทยานในพระนครนี้ เพื่อจงสงเคราะห์แก่โยมและหมู่มนุษย์ทั้งหลายตลอดอายุขัยของข้าพเจ้าทั้งหลายเถิด
พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้ง ๕๐๐ จึงรับปฏิญญาแล้ว องค์ราชาและพระเทวีจึงรับสั่งให้เจ้าพนักงานและหมู่มุขอำมาตย์ช่วยกันตกแต่งสถานที่ในพระราชอุทยานสำหรับอยู่อาศัยแก่พระปัจเจกพุทธเจ้าเหล่านั้นด้วยการสร้างบรรณศาลา ๕๐๐ หลัง ที่จงกรม ๕๐๐ ที่ พร้อมเครื่องอัฐบริขาร สำหรับสมณสารูป อันมีไม้สีฟัน เป็นต้น แก่พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้ง ๕๐๐
การทุกอย่างให้สำเร็จภายในวันเดียว
ครั้นกาลเวลาล่วงไป เมืองชายแดนของพระราชาพาราณสีก่อการกำเริบขึ้น พระองค์ทรงกล่าวแก่พระเทวีว่า พี่จะไประงับเหตุที่เมืองชายแดน เธออย่าละเลยพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย แล้วเสด็จออกไปจากพระนคร ในระหว่างที่พระองค์ยังไม่เสด็จกลับ พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายก็ทยอยสิ้นอายุสังขารในวันเดียวกันจวบจนถึงกาลกิริยาของพระมหาปทุมผู้ยิ่งใหญ่
พระมหาปทุมปัจเจกพุทธเจ้า ทรงฌานตลอดราตรีทั้ง ๓ ยาม ในเวลาอรุณขึ้น ทรงยืนเหนี่ยวแผ่นกระดานสำหรับใช้เป็นที่ยึด แล้วทรงปรินิพพานด้วย อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ พระปัจเจกพุทธเจ้าที่เหลือทั้งหมด ก็ปรินิพพานในลักษณะเดียวกัน
ในวันรุ่งขึ้น พระเทวีทรงให้ตกแต่งที่นั่งของพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายด้วยดอกไม้ จุดเครื่องหอม นั่งคอยพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายมา เมื่อไม่เห็นมาจึงส่งราชบุรุษไปดูว่าเกิดเหตุใดขึ้นกับพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย
ราชบุรุษนั้นไปเปิดประตูบรรณศาลาของพระมหาปทุมปัจเจกพุทธเจ้า ไม่พบท่านในบรรณศาลานั้น จึงไปยังที่จงกรม เห็นท่านยืนพิงแผ่นกระดานสำหรับยึด จึงไหว้ แล้วกล่าวว่า ได้เวลาแล้วเจ้าข้า
ราชบุรุษนั้นเห็นว่าท่านไม่ทรงตอบจึงคิดว่าท่านหลับ จึงเดินไปเอามือลูบที่หลังเท้า จึงรู้ว่าท่านได้เสด็จปรินิพพานแล้ว เพราะเท้าทั้งสองเย็นและแข็ง จึงไปยังสำนักของพระปัจเจกพุทธเจ้าองค์ที่ ๒ เมื่อรู้ว่าองค์ที่ ๒ ปรินิพพานแล้วเช่นกัน ก็ไปยังสำนักของพระปัจเจกพุทธเจ้าองค์ที่ ๓ สุดท้ายไปตรวจดูพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้ง ๕๐๐ พระองค์จึงได้รู้ว่า พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกองค์ปรินิพพานหมดสิ้นแล้ว
พวกราชบุรุษจึงไปกราบทูลพระเทวีว่า ข้าแต่พระเทวี พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายทรงปรินิพพานหมดแล้วพระเจ้าข้า
พระเทวีทรงกรรแสงคร่ำครวญ เสด็จออกไปที่บรรณศาลานั้นพร้อมด้วยชาวพระนคร รับสั่งให้เล่าสาธุกีฬา (การเล่นที่เกี่ยวกับเรื่องอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา) กระทำฌาปนกิจสรีระของพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย แล้วเก็บอัฐิธาตุสร้างพระเจดีย์ ไว้
เมื่อพระราชาทรงปราบเมืองชายแดนให้สงบแล้วเสด็จกลับมา รับสั่งถามพระเทวีผู้เสด็จมาต้อนรับถึงพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย
พระเทวีทูลว่า พระผู้เป็นเจ้าทั้งหลายปรินิพพานเสียแล้ว
พระราชาทรงพระดำริ ว่า มรณะยังเกิดแก่บัณฑิตทั้งหลายเช่นนี้ พวกเราก็คงจะไม่พ้นไปเช่นกัน
พระองค์จึงไม่เสด็จเข้าไปในพระนคร เสด็จเข้าไปยังพระราชอุทยานแล้วทรงมีรับสั่งให้เรียกพระโอรสองค์ใหญ่มา พร้อมทั้งมอบราชสมบัติแก่พระโอรสนั้น แล้วจึงทรงผนวชเป็นสมณะ
ฝ่ายพระเทวี เมื่อเห็นพระสามีเสด็จออกบวชด้วยเกิดธรรมสังเวชในการปรินิพพานของพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้ง ๕๐๐ เช่นนั้น พระนางก็บังเกิดธรรมสังเวชเช่นกัน จึงทรงผนวชอยู่ในพระราชอุทยานนั้นเช่นกัน พระราชาและพระเทวีทั้งสองนั้น ทรงได้รับการบำรุงจากพระโอรสและพระราชธิดา พร้อมหมู่ประชาชน แต่ก็หาได้ตั้งอยู่ด้วยความประมาทไม่ จึงทรงบำเพ็ญฌาน จนถึงอายุขัยจึงได้ตายแล้วไป บังเกิดในพรหมโลก
ผู้มีปัญญา ย่อมเห็นภัยจากสมบัติ เห็นว่าการตั้งตนอยู่ในความไม่ประมาท ย่อมไม่สะดุ้งหวั่นหวาดในมรณะสมบัติ
พุทธะอิสระ
——————————————–