พระภัททกาปิลานีเถรี (ตอนที่ ๖)
๑๘ มีนาคม ๒๕๖๗
ความเดิมตอนที่แล้วจบลงตรงที่ ธิดาเศรษฐี ได้ทำกุศลกรรมโดยนำเครื่องประดับที่มีอยู่บนตัวไปทำเป็นก้อนอิฐทองคำ เพื่อไปจัดสร้างพระเจดีย์ และตั้งความปรารถนาว่า ในที่เราเกิด ขอจงมีกลิ่นจันทน์ฟุ้งออกจากร่างกาย กลิ่นอุบลจงฟุ้งออกจากปาก
หลังจากนั้นกลิ่นกายที่มีกลิ่นเหม็น ก็กลับกลายเป็นกลิ่นจันทน์ฟุ้งออกจากตัว กลิ่นอุบลฟุ้งออกจากปาก
ฝ่ายพ่อสามีและสามีได้รับทราบ ก็เกิดความเลื่อมใส จึงเอาเครื่องประดับที่ปกคลุมร่างกาย และเครื่องประดับที่ประดับบนผืนผ้ากัมพล ยาวประมาณโยชน์หนึ่งหุ้มพระเจดีย์ทองเป็นพุทธบูชา แล้วเอาดอกประทุมทองขนาดใหญ่เท่าล้อรถประดับที่พระเจดีย์ทองนั้น ดอกประทุมทองที่แขวนห้อยไว้มีขนาด ๑๒ ศอก บุตรเศรษฐีนั้นจึงครองรักครองเรือนกับนางผู้มีกลิ่นกายหอมนั้นอยู่จนสิ้นอายุในมนุษยโลกแล้วก็ไปเกิดในสวรรค์
จุติจากสวรรค์นั้น บุตรเศรษฐีผู้เป็นสามีของนางภัททกาปิลานีได้มาบังเกิดในตระกูลอำมาตย์ตระกูลหนึ่ง ซึ่งพำนักอยู่ในที่ห่างจากกรุงพาราณสีประมาณโยชน์หนึ่ง ฝ่ายนางภัททกาปิลานีจุติจากเทวโลกเกิดเป็นพระราชธิดาองค์ใหญ่ ในราชตระกูล
เมื่อคนทั้งสองนั้นเจริญวัย ในหมู่บ้านที่กุมารลูกเศรษฐีอยู่มีงานนักขัตฤกษ์ กุมารนั้นต้องการจะไปเที่ยวงานกล่าวกับมารดาว่า แม่จ๋า แม่จงให้ผ้าสาฎก ผ้าห่มแก่ฉัน ฉันจะห่มไปเที่ยวงานนักขัตฤกษ์
มารดาได้นำผ้าที่ใช้แล้วมาให้เขา
เขาปฏิเสธว่า ผ้านี้เนื้อหยาบไปจ้ะแม่
นางก็นำผ้าผืนอื่นมาให้ แต่ไม่ว่าจะนำผ้าผืนใดมา เขาก็จะปฏิเสธว่าผ้านั้นเนื้อหยาบไปเสียทุกครั้ง มารดาจึงกล่าวกะเขาว่า ลูก เราเกิดในตระกูลที่มีโภคทรัพย์อันจำกัดเช่นนี้ พวกเราไม่มีบุญที่จะได้ผ้าเนื้อละเอียดกว่านี้หรอก
เขากล่าวว่า แม่จ๋า ถ้าอย่างนั้น ฉันจะไปยังที่ที่จะได้ผ้าที่มีเนื้อละเอียดกว่านี้
มารดากล่าวว่า ลูกเอ๋ย หากแม่ขอได้ แม่ก็จักปรารถนาให้เจ้าได้ราชสมบัติในกรุงพาราณสีวันนี้เหมือนกัน
เขาไหว้มารดาแล้วกล่าวว่า ฉันไปละแม่
มารดาว่า ไปเถอะลูก แล้วจึงหันมาปรารภกับตนเองนัยว่า มันจะไปไหนรอด คงจะนั่งที่นี่ ที่นั่นอยู่ในเรือนหลังนี้แหละ
กุมารนั้นก็ออกไปตามความฝันที่ตนปรารถนา และด้วยอำนาจแห่งปุพเพกตปุญญตา ความเป็นผู้ทำดีมาแล้วแต่กาลก่อน กุมารหนุ่มน้อยนั้นจึงได้เดินทางมาถึงกรุงพาราณสี แล้วเข้าไปนอนคลุมศีรษะอยู่บนแผ่นมงคลศิลาอาสน์ ในพระราชอุทยานของพระเจ้าพาราณสี
ในวันนั้นเป็นวันที่พระเจ้าพาราณสีสวรรคตแล้วเป็นวันที่ ๗ เหล่าอำมาตย์ทั้งหลายเมื่อทำการถวายพระเพลิงพระศพแล้ว ก็นั่งปรึกษากันอยู่ที่พระลานหลวง ปรารภว่าว่า พระราชามีแต่พระธิดา ไม่มีพระราชโอรส ราชบัลลังก์ไม่มีพระราชาปกครอง เป็นเรื่องไม่สมควร ใครสมควรจะได้เป็นพระราชา
เหล่าอำมาตย์ต่างก็ออกความเห็นว่า ท่านโน้นควรเป็น ท่านนี้ควรเป็น
ปุโรหิตกล่าวว่า ไม่ควรเลือกมาก เอาเถอะ พวกเราจะบวงสรวงเทวดาแล้วเสี่ยงราชรถไปเพื่อหาผู้ที่สมควรจะครองราชย์
อำมาตย์เหล่านั้นจึงจัดแจงนำรถมาเทียมม้า ๔ ตัว แล้วตั้งเครื่องราชกกุธภัณฑ์ ๕ อย่าง กับเศวตรฉัตรไว้บนรถ พร้อมทั้งปล่อยราชรถนั้นไป แล้วให้ชาวพนักงานสังคีตประโคมดนตรีตามไปข้างหลัง ม้าทั้ง ๔ ตัว นำราชรถออกทางประตูด้านทิศปราจีน บ่ายหน้าไปทางพระราชอุทยาน
โดยมีบรรดาอำมาตย์ ราชปุโรหิต พระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชบริพารของพระราชาองค์เก่า ตามขบวนม้านั้นไปห่างๆ
อำมาตย์บางพวกกล่าวว่า รถบ่ายหน้าไปทางพระราชอุทยาน เพราะม้ามีความคุ้นเคยกับอุทยาน พวกท่านจงให้กลับมา
ปุโรหิตกล่าวว่า อย่าให้กลับ ม้านำราชรถไปยังแท่นที่กุมารนอนอยู่และกระทำประทักษิณแก่กุมารแล้วจึงได้หยุดราวกับเตรียมพร้อมที่จะให้ขึ้น
ปุโรหิตจึงเดินเข้าไปเลิกชายผ้าห่มด้านเท้าของกุมารที่นอนหลับอยู่เพื่อตรวจดูพื้นเท้าของกุมาร ครั้นตรวจดูแล้วจึงกล่าวว่า ไม่เพียงแค่ชมพูทวีปนี้ทวีปเดียว แต่ท่านผู้นี้สมควรได้ครองราชย์ในทวีปทั้ง ๔ มีทวีปสองพันเป็นบริวาร แล้วสั่งให้ประโคมดนตรีขึ้น ๓ ครั้ง
เมื่อกุมารนั้นได้ยินเสียงประโคมดนตรีจึงตื่นขึ้น แล้วเปิดผ้าที่คลุมหน้าขึ้นมองดูไปรอบๆ ตัว เห็นบรรดาเหล่าอำมาตย์และมหาชนที่มาห้อมล้อมอยู่แล้วพูดว่า ท่านทั้งหลาย พวกท่านมาด้วยกิจการอะไรกัน
พวกอำมาตย์ทูลว่า ข้าแต่องค์สมมติเทพ เหล่าข้าพระองค์ขอถวายราชสมบัติแก่พระองค์
กุมารถามขึ้นว่า แล้วพระราชาของพวกท่านไปไหนเสียเล่า ?
อำมาตย์ตอบว่า ได้เสด็จทิวงคตเสียเมื่อ ๗ วันที่แล้ว
กุมารถามต่อไปว่า พระราชโอรสหรือพระราชธิดาของท่านไม่มีหรือ ?
อำมาตย์ ข้าแต่สมมติเทพ พระราชธิดามี แต่พระราชโอรสหามีไม่
กุมารกล่าวว่า เมื่อพวกท่านเห็นว่า เราสมควรที่จะได้ราชสมบัตินี้ เช่นนั้น เราจักขึ้นครองราชย์เอง
เหล่าอำมาตย์ได้ยินรับสั่งเช่นนั้น จึงสั่งให้สร้างมณฑปสำหรับอภิเษกในขณะนั้นทันที แล้วประดับตกแต่งพระวรกายของพระราชธิดาองค์โตของพระราชาองค์ก่อนด้วยเครื่องอลังการทุกอย่าง พร้อมนำมายังพระราชอุทยานทำการอภิเษกกับกุมาร
เมื่อพระกุมารทำการอภิเษกแล้ว ประชาชนทั้งหลายอันมีหมู่อำมาตย์ คฤหบดี เศรษฐี และองค์ราชาในหัวเมืองต่างๆ นำเอาของบรรณาการมากมายมาทูลถวายเป็นราชบรรณาการ
หนึ่งในของบรรณาการนั้นคือ ผ้าที่มีราคาแสนหนึ่งมาถวายด้วย
พระกุมารเห็นดังนั้นจึงถามว่า นี่คืออะไรท่าน
พวกอำมาตย์ทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ ผ้านุ่งพระเจ้าข้า,
พระกุมาร ผ้านี้เนื้อหยาบไป มีผ้าอื่นที่เนื้อละเอียดกว่านี้หรือไม่ ?
อำมาตย์ข้าแต่สมมติเทพ ในบรรดาผ้าที่มนุษย์ทั้งหลายใช้สอย ผ้าที่เนื้อละเอียดกว่านี้ไม่มีแล้ว พระเจ้าข้า
พระกุมารกล่าวว่า พระราชาของพวกท่านทรงผ้านุ่งเช่นนี้หรือ ?
อำมาตย์ พระเจ้าข้า ข้าแต่สมมติเทพ
พระกุมาร พระราชาของพวกท่านคงจะไม่มีบุญ พวกท่านจงนำพระเต้าทองมา เราจะทำให้ได้ผ้าที่เนื้อละเอียดดังผ้าทิพย์ให้พวกท่านได้ดู
อำมาตย์เหล่านั้นนำพระเต้าทองที่มีน้ำอยู่ด้านในจนเต็มมาถวาย
พระกุมารนั้นลุกขึ้นล้างพระหัตถ์ บ้วนพระโอฐ เอาพระหัตถ์วักน้ำสาดไปทางทิศตะวันออก ในขณะนั้นเอง ต้นกัลปพฤกษ์ก็ชำแรกแผ่นดินทึบผุดขึ้นมา ๘ ต้น ทรงวักน้ำสาดไปอีกในทิศทั้ง ๓ ทิศ คือ ทิศใต้ ทิศตะวันออก ทิศเหนือ ต้นกัลปพฤกษ์ก็ผุดขึ้นในทิศทั้ง ๔ ทิศละ ๘ ต้น รวมเป็น ๓๒ ต้น
พระกุมารนั้นทรงปรารถนาผ้าทิพย์จากต้นกัลปพฤกษ์ ผ้าทิพย์ที่ปรากฎอยู่บนกิ่งต้นกัลปพฤกษ์ก็ลอยมาปรากฎอยู่บนพระหัตถ์ของพระกุมาร
ครั้นได้แล้วจึงทรงนุ่งห่มผ้าทิพย์เหล่านั้น
ดังนี้แล้วให้ยกฉัตรขึ้น ทรงประดับตกแต่งพระองค์ ทรงขึ้นช้างตัวประเสริฐเข้าพระนคร ขึ้นสู่ปราสาทเสวยมหาสมบัติสืบต่อมาอย่างยาวนาน
นี่แหละลูกรัก
บุญ คือ เครื่องยังให้สำเร็จถึงสมบัติทั้งปวง
เจริญธรรม
พุทธะอิสระ
——————————————–