พระภัททกาปิลานีเถรี (ตอนที่ ๔)
๑๐ มีนาคม ๒๕๖๗
ความเดิมตอนที่แล้วจบลงตรงที่ เอกสาฏกพราหมณ์และพราหมณี จะไปรับฟังพระธรรมเทศนาของพระบรมศาสดา แต่มีผ้านุ่งผ้าห่มอยู่เพียงผืนเดียว โดยนางพราหมณีจะไปฟังพระธรรมเทศนาในตอนกลางวัน ส่วนเอกสาฏกพราหมณ์จะไปฟังตอนกลางคืน
เอกสาฏกพราหมณ์หลังจากฟังพระธรรมเทศนาแล้วเกิดความปิติยินดี จึงนำผ้านุ่งผ้าห่มที่ตนมีอยู่ผืนเดียวมาวางแทบพระบาทของพระบรมศาสดา แล้วปรบมือขึ้น ๓ ครั้งแล้ว และร้องว่า ชิตํ เม, ชิตํ เม, ชิตํ เม(เราชนะแล้วๆ)
เวลานั้น พระเจ้าพันธุมราชประทับนั่งสดับธรรมอยู่ภายในม่านหลังธรรมาสน์ ได้ทรงสดับดังนั้น จึงส่งราชบุรุษให้ไปถามพราหมณ์นั้นว่า เขาพูดอะไร พูดดังนั้นได้อย่างไร เมื่อราชบุรุษไปถาม พราหมณ์จึงอธิบายว่า
คนอื่นนอกจากเรา เมื่อจะเอาชัยชนะต่อกองทัพข้าศึก จะต้องขึ้นพาหนะ เช่นช้างเป็นต้น ถือโล่หนัง และดาบเป็นอาวุธ เข้าต่อกรกับข้าศึกจึงจะได้ชัยชนะ แต่ชัยชนะเช่นนั้นไม่น่าอัศจรรย์
ส่วนตัวเราได้ทำลายจิตที่หวงแหน ตระหนี่ลงได้แล้ว จึงถวายผ้าห่มที่เราและภรรยามีอยู่แค่ผืนเดียว ซึ่งต้องผลัดกันนุ่งห่ม มาบัดนี้เรายินดีน้อมถวายผ้านี้แด่องค์พระบรมศาสดา ชัยชนะจึงมีแก่เราดังนี้จึงเป็นที่น่าอัศจรรย์
ราชบุรุษจึงไปกราบทูลเรื่องราวนั้นแด่พระราชา พระราชารับสั่งว่า พวกเราไม่รู้สิ่งที่สมควรแก่พระทศพล แต่พราหมณ์นั้นกลับรู้ จึงทรงรับสั่งให้ส่งผ้าสำรับหนึ่ง คือผ้านุ่งกับผ้าห่ม ไปพระราชทานให้แก่พราหมณ์
พราหมณ์นั้นเห็นผ้าคู่นั้นแล้วคิดว่า ถ้าเรามิได้กระทำอะไรพระราชาก็คงไม่พระราชทานอะไรให้แก่เรา เป็นเพราะเรากล่าวถึงคุณวิเศษทั้งหลายของพระบรมศาสดาหรอก ราชาจึงได้พระราชทานผ้าทรงคู่นี้แก่เรา ดังนั้นจะมีประโยชน์อะไรแก่เรากับรางวัลที่ได้รับโดยอาศัยพระคุณของพระบรมศาสดา คิดดังนั้นจึงได้ถวายผ้าสำรับนั้นแด่พระทศพลเพิ่มอีก
พระราชา ตรัสถามว่า พราหมณ์ทำอะไรอยู่ ราชบุรุษทูลว่า พราหมณ์นั้นจึงถวายผ้าสำรับนั้นแด่พระบรมศาสดา จึงทรงรับสั่งให้ส่งผ้าคู่ที่ ๒ พระราชทานให้แก่พราหมณ์ผู้นั้นไปอีก พราหมณ์นั้นก็ได้ถวายผ้าคู่ ๓ นั้นแด่พระศาสดาอีกครั้ง พระราชาก็ทรงส่งผ้าคู่ที่ ๔ ไปพระราชทานให้แก่พราหมณ์ผู้นั้นอีก พราหมณ์ก็นำผ้าที่ได้รับถวายพระศาสดาอีกเช่นเดิม
ทำเช่นนี้จนกระทั่งพระราชาทรงส่งผ้าไปพระราชทาน ถึง ๓๒ สำรับ พราหมณ์จึงคิดว่า การทำเช่นนี้ เพื่อตั้งใจจะให้พระราชาทรง พระราชทานเพิ่มขึ้นแล้ว ตนจึงรับเอาไว้เพียง ๒ สำรับ เพื่อตนเองสำรับ ๑ เพื่อนางพราหมณีภรรยาสำรับ ๑ แล้วที่เหลืออีก ๓๐ สำรับทูลถวายแด่พระบรมศาสดา นับแต่นั้นมาพราหมณ์ก็ได้เป็นผู้คุ้นเคยกับพระราชา
อยู่มาวันหนึ่งพระราชาทรงสดับธรรมในสำนักของพระบรมศาสดาในฤดูหนาว ได้พระราชทานผ้ากัมพลแดงสำหรับห่ม ส่วนพระองค์ที่มีมูลค่าพันหนึ่งแก่พราหมณ์ แล้วรับสั่งว่า นับแต่นี้ไป ท่านจงห่มผ้ากัมพลแดงผืนนี้เพื่อมาฟังธรรมเถิด พราหมณ์นั้นคิดว่า ผ้ากัมพลแดงนี้จะมีประโยชน์อะไรกับกายอันโสโครก เปื่อยเน่าของเรานี้ จึงได้ถวายทำเป็นเพดานเหนือตั่งที่ประทับของพระบรมศาสดาภายในพระคันธกุฎี
อยู่มาวันหนึ่ง พระราชาเสด็จไปพระวิหารแต่เช้าตรู่ ประทับนั่งในที่ใกล้พระบรมศาสดาในพระคันธกุฏี ในขณะนั้น พระพุทธรัศมีมีสี ๖ ประการ ส่องไปกระทบที่ผ้ากัมพล สีแดงของผ้ากัมพลก็บรรเจิดจ้าขึ้น พระราชาทอดพระเนตรเห็นก็จำได้จึงกราบทูลพระบรมศาสดาว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ผ้ากัมพลผืนนี้ของข้าพระองค์ ๆ ยกให้เอกสาฏกพราหมณ์แล้ว ไฉนถึงได้มาอยู่เหนือพระแท่นทรงประทับได้เล่าพุทธเจ้าข้า
พระบรมศาสดาทรงตรัสว่ามหาบพิตร พระองค์พระราชทานเพื่อบูชาพราหมณ์ พราหมณ์ถวายผ้ากำพลผืนนี้เพื่อบูชาเราตถาคต พระราชาทรงเลื่อมใสว่า พราหมณ์เอกสาฏกผู้นี้ช่างรู้ว่าสิ่งใดที่เหมาะที่ควร พระองค์เสียอีกกลับไม่รู้ จึงพระราชทานสิ่งที่เป็นของเกื้อกูลแก่มนุษย์ทุกอย่าง ๆ ละ ๘ ชนิด ๘ ครั้ง ให้เป็นมหาทานชื่อว่า สัพพัฏฐกทาน แก่เอกสาฏกพราหมณ์ แล้วทรงตั้งให้เป็นปุโรหิตประจำราชสำนัก
พราหมณ์นั้นคิดว่า ชื่อว่าของ ๘ ชนิด ๘ ครั้ง รวมเป็น ๖๔ ชนิด เราและภรรยาไม่เหมาะที่จะรับไว้เพื่อตน จึงตั้งสลากภัต ๖๔ ที่ ถวายแด่หมู่พระสงฆ์ แล้วพราหมณ์สองผัวเมีย ให้ทาน รักษาศีล ประพฤติธรรมอยู่จนตลอดชีวิต
ครั้งเมื่อถึงกาลกิริยาแล้วจึงไปเกิดในสวรรค์
พราหมณ์เอกสาฏกและภรรยา ได้รื่นเริง ตั้งมั่นอยู่ในโลกสวรรค์แต่ละชั้นๆ จวบจนกาลล่วงเลยมาจนถึง พระศาสนาของพระโกนาคมน์พุทธเจ้า แล้วไปเกิดอยู่ในสวรรค์อยู่หลายชั้น หลายภพหลายชาติ จนลุถึงพระศาสนาของพระกัสสปทศพลพุทธเจ้า
ในสมัยนั้นเอกสาฏกพราหมณ์และนางพราหมณีได้จุติจากสวรรค์มาเกิดเป็นภรรยาของกฏุมพี (พราหมณ์เอกสาฏก) ในกรุงพาราณสี ในระหว่างกาลของพระพุทธเจ้า ๒ พระองค์ คือ พระผู้มีพระภาคเจ้าโกนาคมน์ และพระกัสสปทศพลในกัปนี้
อยู่มาวันหนึ่ง กฏุมพีนั้นระหว่างที่เดินเที่ยวพักผ่อนไปในป่า.ก็พบพระปัจเจกพุทธเจ้าทรงกระทำจีวรกรรม (คือการเย็บจีวร) อยู่ที่ริมแม่น้ำ แต่ผ้าอนุวาต (ผ้าแผ่นบาง ๆ ที่เย็บเป็นขอบสบงจีวรและสังฆาฎิ) มีไม่พอจึงคิดจะหยุดเย็บต่อผ้า พร้อมทั้งจะพับผ้าที่ยังไม่เสร็จนั้นเก็บ
เขาเห็นเข้าจึงกล่าวถามพระปัจเจกพุทธเจ้าว่า เพราะอะไรจึงจะพับเก็บเสียเล่า เจ้าข้า
พระปัจเจกพุทธเจ้ากล่าวว่า ผ้าอนุวาตเรามีไม่พอที่จะเย็บต่อน่ะโยม
เขากล่าวว่า โปรดเอาผ้าสาฏกนี้ทำเถิดเจ้าข้า พร้อมทั้งเปลื้องผ้า ผ้าสาฏกที่ตนห่มมาแล้ว ตั้งความปรารถนาว่า ขอความเสื่อมใด ๆ จงอย่าได้มี ในที่ที่ข้าพเจ้าได้เกิดเถิด พร้อมทั้งกล่าวอาราธนา นิมนต์พระปัจเจกพุทธเจ้าเข้าไปภิกษาจารยังเรือนของตน
ครั้งถึงรุ่งเช้าพระปัจเจกพุทธเจ้า เสด็จเข้าไปบิณฑบาตรยังเรือนของกฏุมพีนั้น ในตอนนั้น ภรรยาของตนได้มีวิวาทะกับน้องสาวของเขา พอหญิงทั้งสองเห็นกฏุมพีนั้นกลับมา จึงได้หยุดทะเลาะกัน
ครั้งถึงเวลาเช้า พระปัจเจกพุทธเจ้าทรงเสด็จมาภิกษาจารที่เรือนของกฏุมพีน้องสาวของกฏุมพีถวายบิณฑบาตแก่พระปัจเจกพุทธเจ้าแล้ว จึงกล่าวพาดพิงกระแนะกระแหนในเชิงตั้งความปรารถนาถึงพี่สะใภ้ว่า ขอให้เราจงห่างไกลหญิงพาลเช่นนี้ร้อยโยชน์
ภรรยาของกฏุมพีที่กำลังยืนอยู่ที่ลานบ้านได้ยินเข้าจึงคิดว่า พระรูปนี้จงอย่าได้ฉันอาหารที่นางคนนี้ถวายเลย จึงจับบาตรพระปัจเจกพุทธเจ้ามาเทอาหารบิณฑบาตนั้นทิ้งเสียแล้วเอาเปือกตมมาใส่จนเต็มบาตร
น้องสาวเขาเห็นพี่สะใภ้ทำเช่นนั้นจึงกล่าวว่า นางหญิงพาล หากเจ้าไม่พอใจเราก็จงด่าจงบริภาษเราแต่ผู้เดียวเถิด การเทภัตตาหารจากบาตรของท่านผู้ได้บำเพ็ญบารมีมา ๒ อสงไขยเช่นนี้ แล้วใส่โคนตมให้ในบาตรแทนเช่นนี้ เป็นการไม่สมควรเลย
นางครั้นได้ฟังก็เกิดความสำนึกขึ้นได้ จึงกล่าวว่า โปรดหยุดก่อนเจ้าข้า แล้ว นางจึงเข้ารับบาตรจากมือพระปัจเจกพุทธเจ้า พร้อมทั้งเทเปือกตมนั้นออก ล้างบาตรแล้วชโลมด้วยผงเครื่องหอม ได้ใส่ของมีรสอร่อย ๔ อย่างเต็มบาตรอันควร ถวายบาตรนั้นลงในมือของพระปัจเจกพุทธเจ้า พร้อมทั้งตั้งความปรารถนาว่า สรีระของเราจงผุดผ่องเหมือนบิณฑบาตอันผุดผ่องนี้เถิด
พระปัจเจกพุทธเจ้าอนุโมทนาแล้วเหาะขึ้นสู่อากาศ บ่ายหน้าไปสู่ที่ประทับยังเทือกเขาหิมวันต์
เรื่องนี้แสดงให้เห็นถึงความใจเร็ว อารมณ์พลุ่งพล่านของบุคคลผู้ที่ตกอยู่ในภวังค์ของอารมณ์โกรธครอบงำ
ยังดีที่ยังพอมีสติปัญญาที่ได้เคยสั่งสมอบรมมาแต่ในอดีต จึงสามารถกลับตัวกลับใจ หันมากระทำสิ่งที่ดีมีมงคล ให้เกิดขึ้นแก่ตนจนได้ในเวลาอันเฉียดฉิว
เจริญธรรม
พุทธะอิสระ
——————————————–