ประวัติพระภัททากุณฑลเกสาเถรี (ตอนที่ ๒)
๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๗
ความเดิมตอนที่แล้วจบลงตรงที่ นางภัททา ธิดาคนเดียวของสกุลเศรษฐี ได้เปิดหน้าต่างเห็นโจรสัตตุกะ กำลังถูกควบคุมตัวไปยังลานประหาร แล้วบังเกิดความรักโจรนั้น จึงกล่าวกับครอบครัวว่า
“ลูกพบโจรที่เขากำลังนำไปฆ่า จึงรู้สึกหลงรักโจรนั้นจับใจ หากลูกได้เขามาเป็นสามีลูกจึงจะมีชีวิตอยู่ได้ เมื่อลูกไม่ได้ตัวเขามาลูกก็ขอยอมตายเสียแต่วันนี้”
บิดามารดาปลอบโดยประการต่าง ๆ ก็ไม่อาจให้นางยินยอมได้ จึงคิดว่า ทำให้นางอยู่ ดีกว่าปล่อยให้นางตาย
ครั้งนั้นบิดาของนาง จึงไปหาเจ้าหน้าที่นครบาล ติดสินบน ๑,๐๐๐ กหาปณะ แล้วบอกว่า ธิดาของเรามีจิตปฏิพัทธ์รักใคร่ในโจรผู้นี้ โปรดจงปล่อยโจรนี้ ด้วยอุบายวิธีอย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ เพื่อให้โจรผู้นี้ได้ไปเป็นสามีของบุตรสาวข้าพเจ้า
เจ้าหน้าที่นครบาลได้ฟังดังนั้น ด้วยจิตละโมบเห็นแก่เงินสินบน จึง รับปากเศรษฐี ปล่อยให้เศรษฐีพาโจรผู้นั้นไปโดยออกอุบาย หน่วงเหนี่ยวในการนำตัวเข้าสู่แดนประหารให้ชักช้าลง ด้วยการพาเดินไปทางโน้นบ้าง ทางนี้บ้างจนพระอาทิตย์ตกมืดค่ำ ผู้คนสังเกตุได้ยาก
แล้วก็ให้นำเอาโจรที่มีคดีอาญาที่ต้องถูกประหารอยู่แล้วคนหนึ่งออกมาจากคุก ปลอมตัวเป็นโจรสัตตุกะ พร้อมทั้งปล่อยตัวสัตตุกะโจรออกจากเครื่องจองจำ พาไปส่งยังเรือนเศรษฐี
ทั้งยังนำเอาเครื่องจองจำของโจรสัตตุกะนั้นมาพันธนาการโจรที่นำมาจากคุกแทน แล้วนำตัวออกไปทางประตูด้านทิศใต้ เพื่อทำการประหารชีวิตโจรผู้นั้นแทน
เศรษฐีเมื่อได้ตัวโจรสัตตุกะมาแล้ว จึงส่งตัวให้แก่พวกทาสของเศรษฐีต่างพาตัวสัตตุกะโจรมายังเรือนของเศรษฐี
เมื่อเศรษฐีเห็นเขาแล้วคิดว่า ดีหละวันนี้เราจักทำให้สมใจของธิดาของเราเสียที จึงให้พวกทาสนำตัวโจรไปอาบน้ำชำระล้างกาย แล้วให้ใช้น้ำหอมอาบสัตตุกะโจรเรียบร้อยแล้ว ให้ตกแต่งประดับประดาด้วยเครื่องอาภรณ์อย่างดี พาไปส่งตัวยังปราสาทของบุตรสาว
นางภัททาคิดว่า ความดำริของเราสำเร็จประโยชน์แล้ว จึงแต่งตัวให้เพริศพริ้งด้วยเครื่องอลังการนานาชนิดเพื่อคอยบำเรอโจรสัตตุกะที่นางหลงรัก
ครั้นพอล่วงมาได้ ๒-๓ วัน สัตตุกะโจรก็คิดว่า สิ่งของเครื่องประดับ ของนางช่างมีค่า ราคาแพงทั้งนั้น จักต้องตกเป็นของเราทั้งหมด เราควรจะถือเอาเครื่องถนิมพิมพาภรณ์ ทองหยอง เพชรนิลจินดาเหล่านี้ ด้วยอุบายอันแยบคาย ดังนี้แล้ว
อยู่มาวันหนึ่ง โจรสัตตุกะก็ทำทีเป็นนั่งใกล้ชิดกันอย่างมีความสุขพร้อมพูดกะนางภัททาว่า เรามีเรื่องที่จะพูดสักเรื่องหนึ่ง
ธิดาเศรษฐีปลาบปลื้มใจประหนึ่งว่าได้ลาภตั้งพันจึงตอบว่า พี่ท่าน เราสนิทสนมกันแล้ว พี่ท่าน จงบอกมาเถิด
โจรกล่าวว่า เธอคิดว่าเรานี้ได้ชีวิตมาเพราะอาศัยเธอ แต่ก่อนหน้านี้เราเมื่อถูกราชบุรุษนครบาลจับตัวไปนั้น เราได้อ้อนวอนเทวดาผู้สิงสถิตอยู่ที่เขาทิ้งโจรว่า ถ้าข้าพเจ้าจักได้ชีวิต ข้าพเจ้าจักถวายพลีกรรมแด่ท่าน
บัดนี้เราได้ชีวิตมาแล้วเพราะด้วยอานุภาพของเทวดานั้น ขอน้องหญิงจงรีบเร่งให้จัดเครื่องพลีกรรมนั้นเถิด
นางภัททาคิดว่า เราจักทำให้เขาพึ่งพอใจในตัวเราให้ได้ในวันนี้ จึงสั่งให้บ่าวไพร่ในเรือนจัดเตรียมเครื่องพลีกรรม พร้อมนางได้ตกแต่งเรือนร่างด้วยเครื่องประดับประดาอันอลังการเล่อค่าทุกชนิดแล้ว ขึ้นนั่งในรถคันเดียวกับโจร เดินทางสู่เหวทิ้งโจรพร้อมกับสามี
เมื่อสองสามีโจรและภรรยา แค่สองคนเท่านั้นที่เดินทางมาถึงตีนเขาเหวทิ้งโจรแล้วก็เริ่มไต่ภูเขาขึ้นไปด้วยคิดว่า เราจักทำพลีกรรมแก่เทวดาผู้สถิตอยู่บนภูเขานั้น
ขณะที่เดินทางขึ้นเขา สัตตุกะโจรจึงคิดวางแผนอยู่ในใจว่า เมื่อขึ้นไปบนยอดเขาแล้วเราออกอุบายให้นางภัททานี้เปลื้องเครื่องอาภรณ์ของนางออกเสียให้หมด ด้วยข้ออ้างเพื่อให้นางร่ายรำบวงสรวงต่อเทพยดา
ขณะเดียวกันเจ้าโจรเจ้าเล่ห์ทำแสรงแสดงกิริยาออดอ้อนพลอดรักจู๋จี๋ ทำให้นางภัททาพอใจ
ด้วยเหตุนั้นนั่นเอง นางจึงหลงเชื่อว่า โจรผู้นี้เกิดจิตผูกสมัครรักใคร่ต่อนางเช่นกัน
ครั้งเมื่อถึงสถานที่เหวทิ้งโจรแล้ว โจรจึงพูดกะนางว่า น้องหญิงเธอจงเปลื้องผ้าห่มชั้นนอกของเธอที่มีเครื่องประดับออกเสีย แล้วเอาเครื่องประดับที่ประดับที่ติดกายอยู่ทุกชิ้นออกเสียด้วย นำมาเก็บไว้ในห่อผ้า ณ ที่นี้ พร้อมทั้งมีกิริยาที่เปลี่ยนจากหวานซึ้งมึนเมา เป็นขู่ตะคอกด้วยความรุนแรง เหี้ยมโหด พร้อมใช้มีดที่พกมาเข้าชี้บังคับข่มขู่
นางภัททาจึงกล่าวขึ้นว่า : พี่จ๋า ดิฉันมีความผิดอะไรหรือ ทำไมพี่จึงทำกิริยาข่มขู่ คุกคามต่อดิฉันเช่นนี้
โจร : แม่นางผู้โง่เขลา เธอคิดว่า เรามาเพื่อทำพลีกรรมจริงๆ กระนั้นหรือ ความจริงเราจะควักตับเจ้าออกมาถวายแก่เทวดาต่างหากเล่า เพราะเรามีความประสงค์จะถือเอาเครื่องถนิมพิมพาภรณ์ อันมีค่าต่างหาก จึงออกอุบายว่าจะมาพลีกรรม จึงได้พาเธอมาที่นี่
นางภัททาจึงกล่าวว่า : พี่จ๋า ทำไมถึงละโมบมากเพียงนี้ ทั้งที่แท้จริงแล้ว เครื่องประดับมากมายเหล่านี้ล้วนต้องเป็นของพี่ในที่สุด ไม่เว้นแม้แต่ตัวน้อง
โจร : ไม่ต้องมากล่อมเรา เราต้องการของมีค่าทั้งหมดของเธอเดี๋ยวนี้ ส่วนตัวเธอนั้น เราหาได้ต้องการไม่
นางภัททาเห็นท่าทีที่หยาบคาย เหี้ยมโหดของบุคคลที่ตนหลงรักเช่นนั้น ก็ให้รู้สึกเสียใจว่า เราสู้อุตส่าห์หลงรักใคร่จนสามารถช่วยไถ่ชีวิตมาได้จากความตาย แทนที่จะระลึกถึงคุณกลับคิดจะมาฆ่าเรา เพื่อชิงทรัพย์เสียอีก
นางจึงได้สติพร้อมคิดอุบายขึ้น แล้วกล่าวว่า : เมื่อคุณพี่ต้องการชีวิตและทรัพย์สินของน้องเช่นนี้ น้องก็มิขัดข้อง แต่ขอให้ความปรารถนาของน้องสำเร็จประโยชน์ดังที่มุ่งหวังด้วยเถิด ขอให้น้องได้มีโอกาสสวมกอดพี่ทั้งด้านหน้าและด้านหลังโดยยังแต่งตัวอยู่อย่างนี้นี่แหละ
โจรพอได้ฟังดังนี้แล้วจึงรับปากว่า ได้ หากเจ้าต้องการเช่นนั้นก่อนตาย
นางภัททา จึงเข้าสวมกอดข้างหน้าแล้วก็ทำเป็นทีสวมกอดข้างหลัง ทำกิริยายั่วยวน โลมเล้าจนโจรตายใจ ไว้ใจ เมื่อเขาเผลอ จึงผลักเขาตกเหวไป เมื่อตกลงเหวทิ้งโจรไปแล้ว ร่างได้กระแทกกับหินแต่ละชั้นจนแหลกละเอียดไปที่นั่น
เทวดาผู้สิงสถิตอยู่ที่ภูเขา เห็นเหตุการณ์ที่นางทำแก่โจรจนร่างแหลกละเอียด ไป จึงได้กล่าวคาถาด้วยประสงค์จะสรรเสริญ สติปัญญาของนางภัททาดังนี้ว่า
“ผู้ชายนั้นมิใช่จะเป็นบัณฑิตไปเสียในที่ทุกสถาน แม้เป็นหญิงผู้มีวิจารณญาณในเหตุการณ์นั้น ก็สามารถเป็นบัณฑิตได้เช่นกัน
ผู้ชายนั้น มิใช่จะเป็นบัณฑิตไปเสียในที่ทุกสถาน แต่ผู้หญิงหากฝึกฝนอบรมศึกษา คิดอ่านแล้วอย่างดีแม้ครู่เดียว ก็เป็นบัณฑิตได้”
ลำดับนั้น นางภัททาจึงคิดว่า เราไม่สามารถจะกลับไปบ้านด้วยความรู้สึกอับอายที่ลุ่มหลงในกามคุณ เราไปจากที่นี้แล้วจักไปขอบวชในสำนักใดสำนักหนึ่ง จึงได้ไปยังอารามของพวกนิครนถ์ขอบรรพชากะพวกนิครนถ์
ทีนั้นพวกนิครนถ์เหล่านั้นกล่าวกะนางว่า จะบวชด้วยกรรมพิธีที่เจ้าลัทธิเป็นผู้กำหนดขึ้นเท่านั้น เจ้าจักทำได้กระนั้นหรือ
นางภัททา จึงกล่าวว่า สิ่งใดเป็นของสูงสุดในบรรพชาของท่าน ขอท่านจงกระทำสิ่งนั้นแก่ข้าพเจ้าเถิด
พวกนิครนถ์รับว่า ดีแล้ว จึงเอาก้านตาลมาถอนผมของนางออกจนหมดหัวแล้วให้บวช ผมเมื่อจะงอกขึ้นอีกก็งอกขึ้นเป็นวงกลมคล้ายตุ้มหู โดยเป็นกลุ่มก้อนขึ้นมา เพราะเหตุนั้นนางจึงเกิดมีชื่อว่า กุณฑลเกสา
วันนี้เอาไว้แค่นี้ก่อนนะจ๊ะ แล้วมาติดตามตอนต่อไป
มีสิ่งหนึ่งที่ควรนำมาพิจารณา เรื่องการสั่งสมอบรมกระบวนการของสัมมาสติ ที่เริ่มจากการดำเนินชีวิต ให้อยู่ในทำนองคลองธรรม อันเริ่มต้นมาจาก การมีชีวิตอย่างซื่อตรง คิด ทำ พูด ต้องเรื่องเดียวกัน แล้วบำเพ็ญทาน รักษาศีล เจริญสติ สมาธิ บำเพ็ญภาวนา แผ่เมตตา จนติดตราตรึงใจ แทรกซึมเข้าไปในไขกระดูกของแต่ละภพแต่ละชาติ
ครั้งถึงคราวที่ประสบเหตุเภทภัย ก็จักไม่อับจนปัญญา แก้ไขสถานการณ์ดุจดังนางภัททาที่ปฏิบัติจนทำให้เหล่าภูติ เทวา รุกขเทวดาพากันสรรเสริญดังกล่าวมา
เจริญธรรม
พุทธะอิสระ
——————————————–