ประวัติพระภิกษุณีอุบลวรรณาเถรี (ตอนที่ ๔)
๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๗
ความเดิมตอนที่แล้ว จบลงตรงที่ พระนางปทุมวดีถูกพระสวามีขับออกจากพระราชวัง ด้วยทรงหลงเชื่อการยุยงของข้าบาทบริจาริกาทั้ง ๕๐๐ ใส่ร้ายว่า พระนางคลอดลูกออกมาเป็นท่อนไม้
พระราชาจึงทรงขับไล่พระนางปทุมวดีออกจากพระราชวัง แล้วซัดเซพเนจร ไปอาศัยอยู่กับหญิงชราคนหนึ่ง ที่รับนางไว้ ทั้งยังให้ความรักใคร่ดุจดังลูกสาวของตน
ต่อมานางหญิงข้าบาทบริจาริกาทั้ง ๕๐๐ คน ได้ออกอุบายชวนพระราชาให้จัดงานกีฬารื่นเริงทางน้ำ เพื่อที่พวกนางจักลอบนำเอากล่องตลับที่ใส่ร่างพระกุมารทั้ง ๕๐๐ ไปทิ้งน้ำ
พระราชาทรงยินดีตามคำขอของหญิงบาทบริจาริกาทั้ง ๕๐๐ เหล่านั้น อีกทั้งยังทรงเสด็จไปเพื่อทรงเล่นกีฬาทางน้ำ ณ แม่น้ำคงคา สตรีเหล่านั้นต่างถือกล่องตลับ ที่ใส่พระกุมารราชบุตรของพระนางปทุมวดี ที่แต่ละคนรับไว้แล้วพากันนำไปยังแม่น้ำ คลุมผ้าไว้เพื่อปกปิดกล่องตลับเหล่านั้น กระโดดลงน้ำแล้วปล่อยให้กล่องตลับนั้นให้ลอยไป กล่องตลับที่บรรจุพระกุมารทั้ง ๕๐๐ กล่องเหล่านั้นได้ลอยไปติดอยู่ที่ตาข่ายซึ่งที่ราชบุรุษกางกั้นมิให้ขยะลอยเข้ามาสู่ปะรำพิธีกีฬาทางน้ำขององค์ราชา
เวลาต่อมาพระราชาเมื่อทรงกีฬาทางน้ำเสร็จแล้วจึงเสด็จขึ้นจากน้ำ พวกราชบุรุษจึงยกตาข่ายขึ้นพลันเหลือบไปเห็นกล่องตลับเหล่านั้น ติดอยู่กับตาข่ายจึงนำมาถวายพระราชา
พระราชาทรงตรวจดูกล่องตลับ เห็นมีครั่งทาปิดลอยแยกเพื่อมิให้น้ำและอากาศเข้าไปในกล่องตลับ องค์ราชาจึงทรงตรัสถามว่า พ่อเอ๋ย อะไรอยู่ในกล่องตลับเหล่านั้น
ราชบุรุษกราบทูลว่า ไม่ทราบเกล้า พระเจ้าข้า
ท้าวเธอโปรดให้เปิดกล่องเหล่านั้นตรวจดู ทรงให้เปิดกล่องตลับกล่องแรกที่บรรจุร่างของพระมหาปทุมราชกุมารเป็นกล่องแรกออกมา
ตั้งแต่วันที่พวกนางหญิงทั้ง ๕๐๐ นำตัวพระราชกุมารทั้ง ๕๐๐ ไปบรรจุใส่กล่องตลับ พระกุมารเหล่านั้นทุกพระองค์ล้วนบรรทมดูดนิ้วหัวแม่มือ ซึ่งมีน้ำนมไหลออกมาจากปลายหัวแม่มือกันทั่วทุกพระองค์อันเกิดจากบุญฤทธิ์ที่ได้เคยทำมาดีแล้วแต่กาลก่อน
อีกทั้งขณะที่พวกนางหญิงทั้ง ๕๐๐ นำร่างพระกุมารบรรจุใส่กล่องตลับ ท้าวสักกเทวราชโปรดให้ท้าวเวสสุกรรม นายช่างใหญ่ลอบมาจารึกพระอักษรไว้ภายในกล่องตลับ เพื่อบอกกล่าวให้พระราชาทรงทราบว่า พระกุมารเหล่านั้นบังเกิดในพระครรภ์ของพระนางปทุมวดี เป็นพระราชโอรสของพระเจ้าพาราณสี ซึ่งถูกนางหญิงทั้ง ๕๐๐ คน ใส่ร้ายว่า พระนางปทุมวดีคลอดลูกออกมาเป็นท่อนไม้ แล้วนำพระกุมารทั้ง ๕๐๐ นั้นมาบรรจุใส่กล่องตลับ
ต่อมาจึงออกอุบายแสรงขอจัดงานกีฬาทางน้ำ เพื่อนำเอากล่องตลับที่มีกุมารน้อยนอนอยู่มาลอยน้ำทิ้ง เพื่อหวังให้พระกุมารทั้ง ๕๐๐ ตายลง
พระราชาครั้นพอเปิดกล่องตลับ พบพระกุมาร และทรงอ่านอักษร เมื่อทรงทราบความโดยตลอดแล้วก็ทรงเสียพระทัย ที่หูเบา หลงเชื่อฟังคำของคนชั่วคนพาล ทรงอุ้มพระมหาปทุมกุมารขึ้น รับสั่งให้รีบเร่งจัดเทียมรถ ตรัสสั่งว่า พวกเจ้าจงจัดม้าเข้าเทียมรถ วันนี้ เราจักเข้าไปภายในพระนคร จะกระทำให้สะใจสำหรับผู้หญิงบางจำพวก
แล้วเสด็จขึ้นพระมหาปราสาทวางถุงทรัพย์พันกหาปณะบนคอช้าง โปรดให้ตีกลองร้องป่าวไปในพระนครว่า ผู้ใดพบพระนางปทุมวดี ผู้นั้นจงรับทรัพย์พันกหาปณะนี้ไป
พระนางปทุมวดี สดับคำประกาศนั้นแล้วได้แจ้งแก่หญิงชรามารดาบุญธรรมของนางว่า แม่จ๋า จงรับถุงทรัพย์พันกหาปณะจากคอช้างเถิด ถือว่าเป็นลาภของแม่
มารดากล่าวว่า แม่รับทรัพย์เช่นนั้นไม่ได้ดอก เพราะแม่ไม่รู้ว่าจะไปหาตัวพระนางปทุมวดีมาจากไหน
แม้มารดาเมื่อถูกพระนางบอกครั้งที่สอง ครั้งที่สาม จึงถามว่า ลูกเอ๋ย หากเจ้าต้องการให้แม่รับทรัพย์นั้นมาแล้ว แม่จะพูดว่าอย่างไรเล่า จึงจะรับทรัพย์นั้นได้
พระนางจึงตรัสว่า แม่ก็จงแจ้งแก่ราชบุรุษไปว่า ลูกสาวฉันเขาเคยพบพระนางปทุมวดีจ้ะ
มารดาหญิงชราคิดว่า หากบุตรสาวเรากล่าวเช่นนี้ นางคงจะรู้ว่า พระนางปทุมวดีอยู่ที่ใด นางจึงกล้าให้เราออกไปรับทรัพย์นั้นมา คิดดังนี้แล้วหญิงชรานั้นจึงออกไปรับเอาถุงทรัพย์พันกหาปณะนั้นมา
เวลานั้น ราชบุรุษทั้งหลายจึงถามนางว่า แม่เฒ่าเอ๋ย เธอได้เคยพบพระนางปทุมวดีหรือจ้ะแม่
หญิงชรากล่าวว่าฉันไม่พบดอกจ้ะ ลูกสาวฉันเขาว่า เขาพบจ้ะ
ผู้คนเหล่านั้นก็ให้นางพาไปพบลูกสาว หญิงแก่นั้นก็พาราชบุรุษไปยังที่อยู่ของนาง เมื่อพวกราชบุรุษเหล่านั้นไปถึงเห็นพระนางปทุมวดีแล้วจำได้ ก็หมอบลงแทบเท้าทั้งสอง
หญิงชรานั้นจึงได้รู้ว่า ลูกสาวบุญธรรมของนางคือพระนางปทุมวดีเทวี จึงกล่าวว่า ข้อที่พระมเหสีของพระราชา อยู่อย่างปราศจากการอารักขาเช่นนี้ เป็นกรรมที่ทำอย่างหนักสำหรับสตรีหนอ
ราชบุรุษเหล่านั้น ครั้งได้ฟังคำของหญิงชราจึงได้ช่วยกันทำความสะอาดที่ประทับอยู่ของพระนางปทุมวดีแล้ว ล้อมไว้ด้วยม่าน ตั้งกองอารักขาไว้ที่ประตู แล้วกลับไปกราบทูลพระราชา พระราชาทรงส่งพระวอทองไปรับพระนางปทุมวดี
พระนางจึงมีรับสั่งแก่ราชบุรุษมาว่า หม่อมฉันจักไม่ไปโดยวิธีอย่างนี้ ขอได้ทรงโปรดให้ปูลาดหนทางด้วยเครื่องอันวิจิตรด้วยผ้าเปลือกไม้อย่างดี ตั้งแต่ที่อยู่ของหม่อมฉันไปจนถึงกรุงพาราณสี พร้อมทั้งให้ติดเพดานกันลมกันแดดด้วยผ้าอันวิจิตรประดับด้วยดาวทองไว้ข้างบน
เมื่อพระองค์ทรงจัดสร้างเครื่องอลังการทุกอย่างที่ประดับตกแต่งสำเร็จแล้ว หม่อมฉันจักเดินไปด้วยเท้า ชาวพระนครจักเห็นสมบัติของหม่อมฉัน ด้วยวิธีอย่างนี้
องค์พระราชา ครั้งได้สดับสิ่งที่พระมเหสีปทุมวดีเทวีต้องการดังนั้น จึงรู้ถึงความผิดที่ตนได้ผิดคำมั่นสัญญาที่ได้ให้ไว้ต่อฤษีพ่อบุญธรรมของพระนางปทุมวดีว่าจะทะนุถนอม รักษา ดูแลให้ความสุขแก่พระนางอย่างดียิ่ง มิให้ต้องได้รับความทุกข์ยาก เดือดร้อนใดๆ
ทั้งยังจะตั้งให้เป็นใหญ่กว่าสตรีทั้งปวง แต่มาบัดนี้ตนกลับมาขับไล่นางออกจากพระนคร ให้ต้องได้รับความทุกข์ยากเดือดร้อน ด้วยเพราะตนหูเบา ขาดสติปัญญา พิจารณาเหตุและผลไปหลงเชื่อคำขอหญิงชั่วทั้ง ๕๐๐ คน จนเกือบทำให้บุตรชายทั้ง ๕๐๐ ของเราต้องมาตายลง
องค์ราชาจึงทรงมีรับสั่ง ด้วยจิตที่สำนึกผิดว่าพวกเจ้าจงทำทุกอย่างให้ต้องพระทัยของพระนางปทุมวดีเถิด
ลำดับนั้น พระนางปทุมวดีทรงประดับเครื่องประดับทุกอย่างแล้ว ทรงพระดำริจักเสด็จไปพระราชนิเวศน์ แล้วทรงเสด็จพระดำเนินกลับพระราชวังด้วยพระบาท
เมื่ออุปฆาตกรรมบรรเทาเบาบางหดหายไป กุศลกรรมที่นางได้เคยสั่งสมเอาไว้ ก็กลับเข้าให้ผลแทนที่
ครั้งนั้น ดอกปทุมทั้งหลายก็ผุดชำแรกเครื่องลาดอันวิจิตรมารองรับพระบาทของพระนางทุกย่างก้าวที่ทรงเหยียบไป
พระนางครั้นทรงแสดงบุญสมบัติของพระองค์แก่มหาชน แล้วก็เสด็จขึ้นพระราชนิเวศน์ ให้พระราชทานเครื่องลาดอันวิจิตรด้วยผ้าเหล่านั้นทั้งหมดแก่หญิงชรามารดาบุญธรรมที่ให้การอุปการะแก่พระนาง เมื่อยามลำบากนั้นเป็นค่าเลี้ยงดู
ฝ่ายพระราชา เมื่อได้พระมเหสีกลับคืนมาแล้ว จึงมีรับสั่งให้เรียกสตรี ๕๐๐ คนนั้นมาพร้อมทรงตรัสแก่พระมเหสีปทุมวดีว่า ดูก่อนพระเทวี เรายกให้ผู้หญิงเลวเหล่านี้เป็นทาสของเจ้า เจ้าจักว่าอย่างไร
พระเทวีจึงทูลว่า ดีละเพคะทูลกระหม่อม ขอได้โปรดให้ประกาศไปทั่วพระนครว่า เหตุที่ทรงพระราชทานหญิงชั่วทั้ง ๕๐๐ นั้น ให้เป็นทาสของหม่อมฉัน ก็เพราะพวกนางได้ร่วมกันใส่ร้ายหม่อมฉันและพยายามที่จะฆ่าลูกชายทั้ง ๕๐๐ ของหม่อมฉัน
พวกชาวนครพาราณสีเขาจักได้ไม่ครหาว่า หม่อมฉันกลั่นแกล้ง รังแกข้าบาทบริจาริกาของพระองค์
พระราชาเมื่อได้สดับเหตุผลของพระมเหสีดังนั้นแล้ว ก็ให้ตีกลองป่าวประกาศว่า หญิง ๕๐๐ คน ที่เป็นศัตรูและคิดจะฆ่าพระโอรสของพระนางปทุมวดี เราได้มอบให้เป็นทาสีของพระนางแล้ว
กาลต่อมาพระนางทรงทราบว่า ประชาชนทั่วพระนครต่างรู้กันทั่วไปแล้วว่า หญิงเหล่านั้นมีพฤติกรรมเช่นนี้ เป็นเหตุให้ต้องมาเป็นทาสีได้อย่างไร จึงกราบทูลถามพระราชาว่า ทูลกระหม่อมเพคะ หม่อมฉันจะอดโทษให้แก่ทาสีทั้ง ๕๐๐ ของหม่อมฉันให้เป็นไทแก่ตัวนางจะได้ไหมเพคะ
พระราชารับสั่งว่า เมื่อเทวีมีประสงค์เช่นนั้น เราก็มิขัดข้อง เจ้าจงทำตามที่เจ้าปรารถนาเถิด
พระนางจึงทูลว่า เมื่อเป็นดังนี้ ขอได้ทรงโปรดให้ตีกลองป่าวประกาศอีกว่า หญิง ๕๐๐ คนนี้ หม่อมฉัน พระเทวีปทุมวดีได้พระราชทานอภัยโทษให้เป็นไทหมดทุกคนแล้ว
เมื่อพระราชาทรงทำหญิงเหล่านั้นให้เป็นไทแล้ว พระนางปทุมวดีจึงทรงมอบพระราชโอรส ๔๙๙ พระองค์ให้หญิงทั้ง ๕๐๐ เหล่านั้นทำหน้าที่เลี้ยงดู เว้นพระมหาปทุมราชกุมารพระองค์เดียว ที่พระนางปทุมวดีทรงรับเลี้ยงดูด้วยพระองค์เอง
ต่อมา เมื่อพระราชกุมารเหล่านั้น ถึงวัยเล่น พระราชาก็โปรดให้สร้างสถานที่เล่นนานาชนิดไว้ในพระราชอุทยาน คราวมีพระชันษาได้ ๑๖ พรรษา พระราชกุมารเหล่านั้น ทุกพระองค์พร้อมพระทัยกัน ทรงเล่นในสระมงคลโบกขรณีที่ดารดาษด้วยดอกปทุม ในพระราชอุทยาน ทอดพระเนตรเห็นดอกปทุมใหม่บานและดอกปทุมเก่าร่วงหล่นจากขั้ว ทรงดำริว่า
ชรานี้ยังมาถึงอนุปาทินนกสังขารที่ไม่มีวิญญาณครองนี้หนอ จะป่วยกล่าวไปไยว่า ชราจะไม่มาถึงสรีระของพวกเราเล่า แม้สรีระนี้ก็คงจักมีคติอย่างนี้เหมือนกัน
ทรงยึดถือให้เป็นอารมณ์แล้ว ก็บังเกิดพระปัจเจกโพธิญาณทุกพระองค์ เสด็จลุกขึ้นประทับนั่งขัดสมาธิ ณ กลีบดอกปทุมทั้งหลาย
ลำดับนั้น พวกราชบุรุษที่ตามเสด็จไปกับพระราชกุมารเหล่านั้น รู้ว่า วันเวลาล่วงไปมากแล้วจึงทูลว่า พระลูกเจ้าพระเจ้าข้า ขอทรงโปรดเสด็จกลับพระราชมณเฑียรเถิดพระเจ้าข้า นี่ก็เป็นเวลาเย็นลงมากแล้ว
พระราชกุมารเหล่านั้นก็ทรงนิ่งสนิทอยู่ในองค์แห่งฌาน
พวกราชบุรุษจึงไปกราบทูลพระราชาว่า ข้าแต่สมมติเทพ พระราชกุมารทั้ง ๕๐๐ นั้น ประทับนั่งเหนือกลีบปทุมทั้งหลาย เมื่อพวกข้าพระบาททูลเชิญให้เสด็จกลับก็ไม่ยอมเปล่งพระวาจาเลยพระเจ้าข้า
พระราชารับสั่งว่า พวกเจ้าจงให้พระราชกุมารเหล่านั้นประทับนั่งตามความพอพระทัยเถิด
พระราชกุมารเหล่านั้น ได้รับการอารักขาตลอดคืนยังรุ่ง จนอรุณขึ้นก็ยังคงประทับนั่งเหนือกลีบดอกปทุมอยู่อย่างนั้น
พวกราชบุรุษเข้าเฝ้าวันรุ่งขึ้นแล้วทูลแก่พระราชกุมารทั้ง ๕๐๐ นั้นว่า ข้าแต่องค์เทวะ ขอโปรดทรงเสด็จกลับพระราชมณเฑียรเถิดพระเจ้าข้า
พระราชกุมารทั้ง ๕๐๐ นั้นจึงมีรับสั่งว่า พวกเราไม่ได้เป็นเทวะ พวกเราชื่อว่าพระปัจเจกพุทธเจ้าต่างหากเล่า
พวกราชบุรุษทูลว่า ข้าแต่พระลูกเจ้า พระองค์ตรัสคำหนัก ธรรมดาว่า พระปัจเจกพุทธเจ้าไม่เป็นอย่างที่พระองค์ดอก พระเจ้าข้า พระปัจเจกพุทธเจ้าเหล่านั้นต้องทรงผมและหนวด ๒ องคุลี ทรงบริขาร ๘ สวมอยู่ที่พระกายสิพระเจ้าข้า
พระราชกุมารเหล่านั้นทรงลูบพระเศียรด้วยพระหัตถ์เบื้องขวาทันใดนั้นเอง เพศคฤหัสถ์ก็หายไป บริขาร ๘ ก็สวมที่พระกาย ต่อนั้นก็เหาะไปยังเงื้อมเขาชื่อนันทมูลกะต่อหน้าพวกข้าราชบริพารที่เฝ้าเพ่งมองด้วยความอัศจรรย์ใจอยู่นั่นเอง
ด้วยผลผลาอานิสงส์ของการเป็นผู้มีบุญอันดีมาแล้วแต่กาลก่อน จึงเป็นเหตุให้พระกุมารทั้ง ๕๐๐ พระองค์มีตาปัญญา เห็นความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่มีอยู่จริง จนสามารถกลับตัวกลับใจ เปลี่ยนแปลงนิสัย แก้ไขพฤติกรรม หันมาบำเพ็ญเพียรจนได้บรรลุเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าได้ในขณะที่ทรงมีพระชนมายุ ๑๖ พระชันษา
เจริญธรรม
พุทธะอิสระ
——————————————–