ประวัติพระภิกษุณีอุบลวรรณาเถรี (ตอนที่ ๓)
๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๗
ความเดิมตอนที่แล้ว จบลงตรงที่ องค์พระบรมศาสดาทรงแสดงบุพกรรมในอดีตชาติอันพิสดารของนางอุบลวรรณาเถรี
ด้วยผลของกุศลกรรมนั้นส่งผลให้นางก็ถือปฏิสนธิในเทวโลก นับแต่นางบังเกิดแล้วในปทุมดอกใหญ่ ดอกบัวเหล่านั้นได้ผุดขึ้นมารับเท้าของนางทุก ๆ ย่างก้าว นางจุติจากเทวโลกนั้นแล้ว ก็มาบังเกิดในดอกบัวในสระปทุมแห่งหนึ่งใกล้เชิงภูเขาหิมวันต์ประเทศ ซึ่งมีดาบสองค์หนึ่งอาศัยเชิงภูเขานั้นอยู่ ดาบสนั้นเดินไปสระแต่เช้าตรู่ เพื่อทำกิจวัตรประจำวัน พลันเห็นดอกปทุมดอกใหญ่นั้น ก็ครุ่นคิดว่า
ปทุมดอกนี้ ใหญ่กว่าดอกอื่น ๆ แต่ดอกอื่น ๆ บานแล้วดอกนี้ยังตูมอยู่ น่าที่จะมีเหตุปรากฎขึ้นอยู่ในดอกปทุมนั้น ดาบสนั้นจึงลงน้ำเอื้อมมือไปจับปทุมดอกนั้น
ปทุมดอกนั้น เมื่อถูกดาบสสัมผัสจับต้องแล้วก็บาน ดาบสจึงได้เห็นเด็กหญิงนอนอยู่ภายในดอกปทุม โดยมีใยบัวพันรอบกาย ปิดบังอวัยวะอันพึงสงวน
เมื่อดาบสได้เห็น จิตของท่านก็บังเกิดความเมตตา กรุณา เอ็นดู ดุจดังบุตรธิดาของตน ท่านจึงอุ้มเด็กหญิงนั้นไปสู่บรรณศาลาพร้อมกับดอกปทุมให้กุมารน้อยนอนบนตั่ง แล้วเข้าสมาบัติบันดาลให้น้ำนมเกิดที่หัวนิ้วป้อนให้กุมาริกานั้นได้ดื่มกิน
ด้วยบุญญานุภาพของนาง เมื่อปทุมดอกนั้นเหี่ยว ดาบสก็นำปทุมดอกอื่นมารองรับตัวกุมารริกานั้นใหม่ เพื่อให้นางได้นอน
กาลต่อมา นางสามารถวิ่งเล่นได้ ทุกย่างก้าวของนางจะมีดอกปทุมผุดขึ้นมารองรับฝ่าเท้าของนาง ตั้งแต่เล็กจนโต อีกทั้งนางยังมีผิวพรรณแห่งเรือนร่างเหมือนดังสีของดอกบัว แม้ผิวของนางไม่งามเสมอผิวพรรณเทธิดา แต่ก็งามล้ำเลิศกว่าผิวพรรณหญิงมนุษย์ทั้งหลาย คราใดที่ดาบสบิดาออกไปแสวงหามูลผลาหาร นางก็ถูกปล่อยให้เที่ยวเล่นอยู่รอบๆ บริเวณบรรณศาลานั้น
ต่อมาวันหนึ่ง เมื่อบิดาไปแสวงหามูลผลาหารอยู่นั้น ก็มีพรานป่าผู้หนึ่งเดินหลงทางมาพบนางเข้า เขาจึงคิดว่า ขึ้นชื่อว่ามนุษย์ทั้งหลาย ที่จะมีรูปร่างงดงามเช่นนี้ไม่น่าจะมีในโลก ดังนั้นจำเราจักตามดูว่านางเป็นมนุษย์หรือไม่ จึงนั่งซุ่มแอบดูคอยรอดูอยู่จนรู้ว่า นางได้อาศัยอยู่กับดาบส
เมื่อบิดากลับมา นางจึงเดินออกไปรับหาบและคณโฑน้ำ และเมื่อบิดามานั่งแล้ว ก็ปฏิบัติหน้าที่ของตนยกน้ำและมูลผลาหารที่มีมาถวายให้องค์ดาบสผู้บิดา แล้วยืนถวายงานพัดอยู่ด้านหลัง
ครั้งนั้น พรานป่าเมื่อรู้ว่านางเป็นมนุษย์ พรานป่านั้นจึงออกจากที่ซ่อนแล้วตรงเข้าไปนั่งกราบดาบส
ดาบสจึงต้อนรับพรานป่านั้น ด้วยมูลผลาหารพร้อมกับน้ำดื่มแล้วถามว่า พ่อมหาจำเริญ ท่านหลงทางมาจากไหน
พรานป่าจึงแจ้งว่า ข้าพเจ้าเดินหลงทางออกมาจากพระนคร แต่หาทางกลับไม่ได้ เมื่อเห็นสระนำและบรรณศาลา จึงแวะเข้ามาขอพักขณะหนึ่ง เพื่อจะถามทางกลับพระนคร
ดาบสจึงชี้ทางเดินไปสู่พระนครให้แก่พรานป่า พร้อมทั้งกล่าวสำทับว่าเหตุการณ์ที่ท่านเห็นแล้วในที่นี้ ท่านอย่าได้พูดในสถานที่ที่ท่านไปจะได้ไหม
พรานตอบว่า ถ้าพระคุณเจ้าไม่ประสงค์ ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่ข้าพเจ้าจะพูดเจ้าข้า
พรานป่าไหว้ดาบส แล้วจึงออกเดินทางกลับไปยังทิศที่ดาบสชี้ให้ แต่ก็ลอบกระทำเครื่องหมายไว้ที่กิ่งไม้และต้นไม้ เพื่อเป็นเครื่องหมายให้จดจำหนทางในเวลาที่ตนจะกลับมาอีก
พรานป่านั้น เมื่อเดินทางกลับสู่กรุงพาราณสีแล้วก็เฝ้าพระราชา พระราชาตรัสถามว่า เจ้ามาทำไม
พรานป่านั้นกราบทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ ข้าพระบาทเป็นพรานป่าของพระองค์ ข้าพระบาทได้เดินหลงป่าเข้าไปสู่เทือกเขาหิมวันต์ประเทศ จนได้พบนางแก้วที่น่าอัศจรรย์ใกล้เชิงเขานั้น นางได้อาศัยอยู่กับดาบสผู้เป็นบิดา ข้าพระองค์จึงมาเฝ้าถวายเรื่องราวพระเจ้าข้า
แล้วพรานป่าผู้นั้นจึงได้กราบทูลเรื่องที่ตนได้ประสบมา ถวายทุกประการ ท้าวเธอทรงสดับคำของพรานป่าแล้ว จึงทรงมีรับสั่งให้จัดเตรียมไพร่พลเพื่อเสด็จไปยังเชิงเขาหิมวันต์
ครั้งเมื่อขบวนเสด็จมาถึงใกล้เชิงเขาหิมวันต์ประเทศนั้น องค์ราชาจึงมีรับสั่งให้ตั้งค่ายพักไพร่พลในที่ไม่ไกลจากเชิงเขานั้น แล้วจึงเสด็จพระดำเนินไปสู่บรรณศาลาพร้อมด้วยพรานป่าและเหล่าทหารองครักษ์
ขณะที่ดาบสกำลังนั่งพักอิริยาบถอยู่ องค์ราชาจึงเสด็จพระดำเนินเข้าไปอภิวาทกราบไหว้ ทรงทำปฏิสันถารแล้ว ประทับนั่ง ณ ที่สมควรส่วนหนึ่ง พระราชาทรงวางเครื่องบริขารสำหรับบรรพชิตไว้แทบเท้าของดาบสตรัสว่า ท่านเจ้าข้า ข้าพเจ้ามาทำอะไรบางอย่างในที่นี้แล้วก็จักไป
ดาบสถวายพระพรว่า โปรดแสดงสิ่งที่ท่านจักทำมาเถิดมหาบพิตร
พระราชาตรัสว่า ข้าพเจ้าได้ยินมาว่า บริษัทที่เป็นข้าศึกมีอยู่ใกล้พระคุณเจ้า บริษัทนั้นไม่สมควรแก่บรรพชิต ขอพระคุณเจ้าจงส่งตัวบริษัทผู้เป็นข้าศึกของบรรพชิตนั้นมากับข้าพเจ้าเถิดเจ้าข้า
ดาบสทูลว่า ขึ้นชื่อว่าจิตใจของมนุษย์ ทำให้พอใจได้ยาก นางจะอยู่ท่ามกลางผู้คนจำนวนมากได้อย่างไร
พระราชาตรัสว่า นับตั้งแต่ข้าพเจ้าได้ทัศนาเห็นรูปกายของนาง เกิดความชอบใจในตัวนาง ข้าพเจ้าจะตั้งนางไว้ในตำแหน่งสูงสุดของผู้คนทั้งหลาย แล้วทำนุบำรุงนางนั้นให้เป็นที่พึงพอใจแก่นาง
ดาบส สดับพระราชดำรัส จึงเรียกธิดาตามนามที่ตั้งไว้ครั้งยังเล็กว่า ลูกปทุมวดี ด้วยการเรียกครั้งเดียวเท่านั้น นางก็ออกจากบรรณศาลามายืนไหว้บิดา ขณะนั้น บิดาจึงกล่าวกะนางว่า ลูกเอ๋ย เจ้าก็โตเป็นสาวแล้ว บัดนี้พระราชาเสด็จมาทรงพบเจ้าแล้วเจ้าจะอยู่ในที่นี้ ก็จะไม่ผาสุกดอกนะ จงตามเสด็จไปกับพระราชาเสียเถิดนะลูกนะ
นางรับคำบิดาว่า เมื่อท่านพ่อมีความประสงค์กล่าวเช่นนั้น ลูกก็มิอาจขัดข้องได้ แล้วจึงก้มลงกราบบาทของบิดาฤษี ผู้ชุบเลี้ยงนางมาพร้อมกับร้องไห้
พระราชาทรงดำริว่า เช่นนี้เราควรจักต้องตอบแทนคุณของบิดานาง ด้วยอามิสบูชา แล้วจึงทรงวางกองกหาปณะ พร้อมทั้งเครื่องประดับอันเลอค่า ไว้แทบบาทของดาบส พร้อมทั้งทรงทำพิธีสู่ขอนางปทุมวดี ธิดาฤษีมาเป็นพระมเหสี เสร็จแล้ว ท้าวเธอทรงนำนางไปยังพระนครพาราณสีของพระองค์
นับแต่เสด็จกลับมาแล้วก็มิได้ทรงสนพระทัยสตรีอื่น ๆ ทรงอภิรมย์อยู่กับนางปทุมวดีทั้งวันทั้งคืน
จนเหล่าสตรีอื่นผู้แวดล้อมเป็นข้าบาทบริจาริกาขององค์ราชานั้นมีปกติริษยาอยู่แล้ว เมื่อประสงค์จะทำให้นางปทุมวดีแตกกันกับพระราชา จึงพากันเพ็ดทูลใส่ร้าย หาเรื่องกล่าวหานางว่า
ข้าแต่พระทูลกระหม่อม สตรีผู้นี้มิใช่มนุษย์ดอกเพคะ ทูลกระหม่อมเคยทอดพระเนตรเห็นดอกปทุมผุดขึ้น ในถิ่นที่มนุษย์สัญจรไปที่ไหนเล่าเพคะ นางผู้นี้ต้องเป็นยักษิณีแน่ขอทูลกระหม่อมโปรดเนรเทศมันไปเสียเถิดเพคะ
พระราชาทรงสดับคำของสตรีเหล่านั้น ก็ได้แต่ทรงนิ่งเฉยหาได้ใส่ใจไม่
ต่อมา ณ หัวเมืองชายแดนของพระราชาเกิดแข็งเมือง ท้าวเธอทรงพระดำริว่า พระนางปทุมวดีมีพระครรภ์แก่ จึงทรงตรัสให้พระนางรั้งอยู่ในพระนคร แล้วเสด็จไปยังเมืองชายแดน
ครั้งนั้น สตรีเหล่ายุวกษัตริย์หญิงบริวารขององค์ราชา จึงให้สินบนแก่หญิงรับใช้ผู้ปรนนิบัติพระนางปทุมวดี พร้อมสั่งว่า พอลูกของพระนางประสูติออกมา เจ้าจงนำออกไปแล้วหาท่อนไม้มาหนึ่งท่อน จงใช้เลือดทาไม้นั้นพร้อมทั้งวางไว้ในที่ที่นางคลอด
กาลต่อมาไม่นานนัก พระนางปทุมวดีก็พระประสูติกาล พระมหาปทุมกุมารพระองค์เดียวเท่านั้นที่ถือปฏิสนธิในพระครรภ์ ส่วนพระกุมารอีก ๔๙๙ พระองค์ บังเกิดเป็นสังเสทชกำเนิด
(สังเสทชกำเนิด แปลว่า การเกิดด้วยเหงื่อไคล หมายถึง กำเนิดที่นอกเหนือจากการเกิดในไข่ การเกิดในมดลูกและการผุดเกิดขึ้น สังเสทชะเป็นการเกิดในเถ้าไคลในที่ชื้นแฉะ หรือที่ต้นไม้ดอกไม้ กำเนิดที่เป็นสังเสทชะมีทั้งสัตว์เดรัจฉาน และมนุษย์ในบางยุคสมัยเช่น หนอนบางประเภทที่เกิดในน้ำคลำ นางจิญจมาณวิกาที่เกิดจากต้นมะขาม นางเวฬุวดีที่เกิดจากต้นไม้ไผ่ นางปทุมวดีที่เกิดจากดอกบัว เป็นต้น)
ในเวลาที่พระมหาปทุมกุมารและพระกุมารร่วมมารดาอีก ๔๙๙ พระองค์ ประสูติออกมาแล้ว
ขณะนั้น หญิงรับใช้ของพระนางปทุมวดีรู้ว่า พระนางยังไม่ได้พระสติ ก็เอาเลือดทาไม้ท่อนหนึ่งแล้ววางไว้ใกล้ ๆ ในที่พระนางคลอด แล้วลอบอุ้มพระมหาปทุมกุมารพร้อมพระกุมารอีก ๔๙๙ พระองค์ ออกจากห้องประสูติ โดยมีบรรดาข้าบาทบริจาริกาขององค์ราชาทั้ง ๕๐๐ มายืนเข้าแถวรอรับขโมยพระกุมารนั้น ออกไปเสียจากอกพระมารดา ไปส่งให้สำนักช่างกลึงที่ทำ กล่องตลับมาใส่พระกุมารที่แต่ละคนรับไว้ ให้บรรทมในกล่องตลับนั้น ตีตรายาคลั่ง ข้างนอกกล่องวางไว้
ฝ่ายพระนางปทุมวดี รู้สึกพระองค์แล้วรับสั่งถามหญิงรับใช้ว่า ข้าคลอดแล้วหรือไม่คุณ
หญิงรับใช้พูดตะคอกเอากะพระนางว่า พระแม่เจ้าจะได้ทารกมาแต่ไหนเล่า
แล้ววางท่อนไม้ทาเลือดไว้เบื้องหน้าพระพักตร์ทูลว่า นี้ทารกที่ประสูติออกจากพระครรภ์ของพระแม่เจ้าละ
พระนางทอดพระเนตรเห็นท่อนไม้นั้นก็ทรงโทมนัส ให้ผ่าท่อนไม้นั้นโดยเร็วแล้วตรัสสั่งว่า เจ้าจงนำออกไป ถ้าใครเห็นก็จะอายเขา
หญิงรับใช้นั้นรับพระราชเสาวนีย์แล้ว ทำเป็นเหมือนว่าหวังดี ก็ผ่าท่อนไม้ ใส่เข้าไปในเตาไฟ
ฝ่ายพระราชาเสด็จกลับจากเมืองชายแดน ทรงนับถือฤกษ์ยาม ตรัสสั่งให้จัดค่ายพักพลประทับอยู่ภายนอกพระนคร ขณะนั้น สตรีเหล่านั้นพากันออกไปรับเสด็จพระราชากราบทูลว่าข้าแต่พระทูลกระหม่อม พระองค์คงไม่ทรงเชื่อพวกข้าพระบาท คำที่พวกข้าพระบาทกราบทูล เป็นเหมือนมิใช่เหตุการณ์ ขอพระองค์โปรดเรียกหญิงรับใช้ของพระมเหสีปทุมวดีนั้นมาสอบถามสิเพคะ พระเทวีของพระองค์ประสูติลูกเป็นท่อนไม้
พระราชาไม่ทันทรงสอบสวนเหตุการณ์นั้น เข้าพระทัยว่าผู้นี้เห็นจะไม่ใช่ชาติมนุษย์แน่ จึงทรงขับไล่พระนางออกไปจากพระราชมณเฑียร พร้อมกับพระนางเสด็จออกจากพระราชมณเฑียร ดอกปทุมก็หายไป แม้แต่พระฉวีวรรณแห่งพระสรีระก็เผือดลงไป พระนางต้องระเหเร่ร่อนเร่ร่อนลำพังพระองค์เดียว เสด็จดำเนินไประหว่างถนนด้วยความทุกข์ยากลำบากยิ่งนัก มีแต่อาภรณ์ประดับกาย ทรัพย์สินเงินทองใดๆ ก็หาได้ติดตัวมาไม่
ขณะนั้นหญิงวัยแก่ผู้หนึ่งพบพระนางก็เกิดรักประดุจว่าลูกสาวตน จึงถามว่าลูกเอ๋ย เจ้าจะไปไหนเล่า
พระนางตรัสตอบว่า ดิฉันเป็นคนจรมา กำลังเดินแสวงหาที่อยู่จ้ะ
หญิงแก่กล่าวว่ามาที่นี้สิลูก แล้วพาพระนางไปที่อยู่ จัดแจงอาหารเลี้ยง
เมื่อพระนางประทับอยู่ ณ ที่นั้น โดยทำนองนี้นั่นแลสตรี ๕๐๐ คนนั้น ก็ร่วมใจกันกราบทูลพระราชาว่า ข้าแต่พระทูลกระหม่อม เมื่อพระองค์เสด็จพักค่ายอยู่ ข้าพระบาทมีความปรารถนาว่า เมื่อพระทูลกระหม่อมของพวกข้าพระบาท ชนะสงครามเสด็จกลับมา พวกข้าพระบาทจักทำพลีกรรมบวงสรวงเล่นกีฬาทางน้ำถวายแก่เทวดาแม่พระคงคา ขอพระทูลกระหม่อมโปรดประกาศความข้อนี้ด้วยเพคะ
แหมกำลังสนุกเลย เหนื่อยเสียแล้ว จบเอาไว้แค่นี้ก่อนแล้วกัน วันหน้าจะนำมาเล่าสู่กันฟังใหม่
เจริญธรรม
พุทธะอิสระ
——————————————–