ประวัตินางวิสาขาอุบาสิกา (ตอนที่ ๑๑)
๑๒ มกราคม ๒๕๖๗
ความเดิมตอนที่แล้วจบลงตรงที่ นางวิสาขาได้ขายเครื่องประดับมหาลดาปสาธน์ ได้เงินมาถึง ๙ โกฏิ ๑ แสนกหาปณะ เพื่อสร้างที่พักของสงฆ์ ตามพุทธดำรัสขององค์พระผู้มีพระภาคเจ้าให้จัดสร้าง แต่ก็ยังไม่เพียงพอต่อการสร้างที่พักของหมู่สงฆ์ พร้อมสาธารณูปโภคต่างๆ นางจึงสละเงินเพิ่มขึ้นจนสร้างที่พักของหมู่สงฆ์แล้วเสร็จ พร้อมทั้งทำพิธีเฉลิมฉลองถวายแด่หมู่สงฆ์ อันมีพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเป็นประมุข
ต่อมาวันหนึ่ง พระศาสดา ทรงตรวจดูสัตว์โลกในเวลาใกล้รุ่งได้ทอดพระเนตรเห็นอุปนิสัยอริยสมบัติของบุตรเศรษฐีนามว่า ภัททิยะ
ซึ่งเป็นผู้จุติจากเทวโลกแล้วเกิดในตระกูลเศรษฐีในภัททิยนคร องค์พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อทรงทำภัตกิจในเรือนของอนาถบิณฑิตเศรษฐีแล้ว ก็เสด็จบ่ายพระพักตร์ไปยังประตูพระนครสาวัตถีด้านทิศอุดร.
ตามปกติ พระศาสดาทรงรับภัตตาหารในเรือนของนางวิสาขาแล้ว ก็เสด็จออกจากประตูทักษิณ ประทับอยู่ในพระเชตวัน แต่ถ้าทรงรับภัตตาหารในเรือนของอนาถบิณฑิกเศรษฐีแล้ว ก็จะเสด็จออกทางประตูด้านปราจีนประทับอยู่ในบุพพาราม
ชนทั้งหลายเห็นพระผู้มีพระภาคเจ้า เสด็จดำเนินมุ่งตรงประตูด้านทิศอุดรแล้ว ย่อมรู้ได้ว่า “จักเสด็จหลีกไปสู่ที่จาริกเพียงลำพังพระองค์เดียว”
ในวันนั้น เมื่อนางวิสาขาทราบว่า “พระบรมศาสดา จักเสด็จพระดำเนินบ่ายพระพักตร์ไปทางประตูด้านทิศอุดร” จึงรีบไป ถวายบังคมแล้วกราบทูลว่า “ทรงประสงค์จะเสด็จดำเนินไปสู่ที่ใดหรือ พระเจ้าข้า?”
พระศาสดา : อย่างนั้น วิสาขา.
วิสาขา : พระเจ้าข้า หม่อมฉันได้บริจาคทรัพย์ไปเป็นจำนวนมากเพื่อสร้างพระวิหารถวายแด่พระองค์และหมู่สงฆ์ โปรดเสด็จกลับเถิด พระเจ้าข้า.
พระศาสดา : นี้ เป็นการไป โดยยังไม่กลับในเวลาอันใกล้นี้ วิสาขา.
นางวิสาขานั้น คิดว่า “พระผู้มีพระภาคเจ้า คงจักทรงเห็นใคร ๆ ผู้สมบูรณ์ด้วยอริยมรรคเป็นแน่.” จึงจักทรงเสด็จไปโปรดนาง จึงได้กราบทูลว่า “ถ้ากระนั้น ขอพระองค์โปรดรับสั่งให้ภิกษุรูปหนึ่ง ผู้เข้าใจการงานสร้างพระวิหารของหม่อมฉัน อยู่ช่วยการงานของหม่อมฉันให้สำเร็จแล้วจึงเสด็จจาริกเถิด พระเจ้าข้า.”
พระศาสดา : เธอพอใจภิกษุรูปใด จงถือเอาบาตรของภิกษุรูปนั้นเถิด วิสาขา.
แม้นางจะพึงใจพระอานนทเถระก็จริง แต่คิดว่า
“พระมหาโมคคัลลานเถระเป็นผู้มีฤทธิ์ การงานของเราจักพลันสำเร็จ ก็เพราะอาศัยพระเถระนั้น” ดังนี้แล้ว จึงถือเอาบาตรของพระเถระไว้ พระโมคคัลลานเถระแลดูพระศาสดา พระพุทธองค์จึงทรงตรัสว่า
“โมคคัลลานะ เธอจงพาภิกษุบริวารของเธอ ๕๐๐ รูป อยู่เพื่ออนุเคราะห์แก่นางวิสาขาและชาวพระนครสาวัตถีที่นี้เถิด.”
พระมหาโมคคัลลานเถระ ท่านจึงรับทำตามพระดำรัสนั้น ด้วยอานุภาพของท่าน พวกชาวพระนครผู้ไปแสวงหาไม้และหินมาทำธุรกรรมก่อสร้างพระวิหารหรือกิจกรรมการงานต่างๆ แม้ระยะทางตั้ง ๕๐–๖๐ โยชน์ ไม่ว่าจะมีไม้และหินหรืออุปกรณ์ก่อสร้างมากมายเพียงใด ด้วยอานุภาพของพระโมคคัลลานเถระ ก็ได้ทำให้ชนทั้งหลายขนเอาไม้และหินพร้อมอุปกรณ์ก่อสร้างมากมายเหล่านั้นมากองไว้พร้อมใช้ทันในวันนั้นนั่นเอง แม้ยกไม้และหินใส่เกวียนก็ไม่ลำบากเลย เพลาเกวียนก็ไม่หัก
กาลต่อมาไม่นานนัก พวกนายช่างทั้งหลายก็สร้างปราสาท ๒ ชั้นเสร็จสมบูรณ์ ปราสาทนั้นประกอบด้วยห้องพันห้อง คือชั้นล่าง ๕๐๐ ห้อง ชั้นบน ๕๐๐ ห้อง
พระศาสดาเสด็จดำเนินจาริกไปโปรดภัททิยะบุตรและมหาชน สิ้นเวลา ๙ เดือนแล้วจึงเสด็จกลับกรุงสาวัตถี พอดีกับการสร้างปราสาทของนางวิสาขาสำเร็จในเวลา ๙ เดือนพอดี
อีกทั้งนางยังให้ช่างสร้างที่กักเก็บน้ำไว้บนยอดปราสาทได้ถึง ๖๐ หม้อทะนานใหญ่ ด้วยทะนานทองคำสีสุกที่หนาและกว้าง เพื่อจักปล่อยน้ำลงมาให้องค์พระผู้มีพระภาคเจ้าและหมู่สงฆ์ได้ใช้อุปโภคและดื่มฉัน
ครั้นเมื่อพระศาสดาเสด็จกลับมาจากเมืองภัททิยะนครแล้วได้ไปยังเชตวันมหาวิหาร นางวิสาขาเมื่อทราบเข้าจึงได้ทำการต้อนรับ แล้วทูลเชิญพระศาสดาไปประทับยังวิหารใหม่ของตนที่สร้างถวาย นางได้ทูลอาราธนาว่า
“พระเจ้าข้า ขอพระองค์โปรดพาภิกษุสงฆ์เสด็จมาประทับอยู่ในวิหารที่ข้าพระพุทธเจ้าสร้างถวายตลอด ๔ เดือนต่อไปนี้ หม่อมฉันจัดทำการฉลองปราสาท.” พระศาสดาทรงรับด้วยกิริยาดุษณี
นับแต่กาลนั้น นางวิสาขาจึงได้ถวายทานแก่ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธานในวิหารที่นางสร้างนั่นแล
ครั้งนั้น มีหญิงสหายคนหนึ่งของนางวิสาขาได้ถือผ้าผืนหนึ่งอันมีราคา ๑,๐๐๐ มาแล้ว กล่าวว่า
“เพื่อนเอย ฉันอยากจะปูผ้าผืนนี้ โดยให้เป็นปูเครื่องลาดพื้นในปราสาทของเพื่อน ขอเพื่อนจงช่วยบอกที่ที่ฉันจะปูลาดผ้านี้แก่ฉันด้วยเถิด”
นางวิสาขาจึงกล่าวขึ้นว่า
“สหายถ้าฉันจะบออกแก่ท่านว่า ‘ไม่มีที่ว่างในปราสาทนี้เหลือให้ท่านได้ปูผ้าผืนนี้อีกแล้ว’ ท่านก็จักสำคัญว่า ‘ไม่ เราปรารถนาจะไม่ให้โอกาสแก่เพื่อน เช่นนั้นเพื่อนจงตรวจดูพื้นในปราสาททั้ง ๒ ชั้น และห้องพันห้องดูก็แล้วกันว่า มีที่ว่างให้เพื่อนได้ปูลาดผ้าผืนนี้หรือไม่”
หญิงสหายนั้น จึงถือผ้าราคา ๑,๐๐๐ เที่ยวเดินตรวจในที่ต่างๆ นั้นจนครบพันห้องทั้ง ๒ ชั้นก็ไม่เห็นมีที่ว่างให้นางได้ปูผ้าที่มีราคาน้อยกว่าราคาผ้าของนางเลย นางจึงเกิดความเสียใจว่า “เราไม่ได้ส่วนบุญแม้น้อยนิดในปราสาทนี้เลย” นางจึงได้ไปยืนร้องไห้อยู่ในที่นอกปราสาทนั้น
เวลานั้น พระอานนทเถระ เห็นหญิงนั้นร้องไห้อยู่ จึงถามว่า
“สีกาท่านร้องไห้เพราะเหตุไร?”
นางจึงบอกเนื้อความนั้น
พระเถระจึงกล่าวว่า
“อย่าคิดมากไปเลย เราจักบอกที่ปูลาดผ้าผืนนี้ให้แก่ท่าน”
พร้อมกับกล่าวว่า ‘ท่านจงปูลาดผ้าผืนนี้ไว้ที่ตีนบันได เพื่อทำเป็นผ้าเช็ดเท้าให้แก่ภิกษุทั้งหลาย เมื่อท่านได้ล้างเท้าแล้วจักได้เช็ดเท้าด้วยผ้าผืนนี้ก่อน จึงจักเข้าไปภายในปราสาท เมื่อเป็นเช่นนั้น ผลบุญเป็นอันมากก็จักมีแก่ท่าน.”
นางจึงระลึกได้ว่า เออจริงสิ บันไดทางขึ้นปราสาท ที่นั่นเป็นสถานอันนางวิสาขามิได้กำหนดไว้ให้แก่เรา
เช่นนั้นเราก็สามารถนำผ้าผืนนี้ไปปูลาดให้แก่ภิกษุทั้งหลายที่จะเข้าปราสาทได้เช็ดเท้า ดังนี้จักดีแน่
กาลต่อมา นางวิสาขาได้ถวายทานแก่ภิกษุสงฆ์ มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน ในภายในวิหาร ตลอด ๔ เดือน ในวันสุดท้าย ได้ถวายผ้าสาฎก (หมายถึง ผ้าทั่วไปที่ผู้ศรัทธานำมาถวายพระภิกษุสงฆ์) เพื่อทำจีวรแก่หมู่ภิกษุสงฆ์
ผ้าสาฎกเพื่อทำจีวร ที่ภิกษุใหม่ในสงฆ์ได้แล้ว ได้มีราคาพันหนึ่ง นางได้ถวายเภสัชเต็มบาตรแก่ภิกษุทุกรูป ด้วยการบริจาคทานในครั้งนี้ตลอด ๔ เดือน ทรัพย์ของนางจึงได้หมดไปอีกถึง ๙ โกฏิ
นางวิสาขาบริจาคทรัพย์ในพระพุทธศาสนา ทั้งหมด ๒๗ โกฏิคือ ในการซื้อพื้นที่แห่งวิหาร ๙ โกฏิ ในการสร้างวิหาร ๙ โกฏิ ในการฉลองวิหาร ๙ โกฏิ ด้วยประการฉะนี้.
ชื่อว่าการบริจาคทานเห็นปานนี้ ย่อมไม่มีแก่หญิงอื่น ผู้ตั้งอยู่ในมิจฉาทิฐิ
ในวันแห่งการฉลองวิหารเสร็จ เวลาบ่าย นางวิสาขาอันมีบุตรหลานแวดล้อมอยู่ด้วย พร้อมกันทุกคน นางจึงคิดว่า “ความปรารถนาใด ๆ อันเราตั้งไว้แล้วในกาลก่อน ความปรารถนานั้น ๆ ถึงที่สุดแล้วทั้งหมดในเวลานี้” นางได้เดินเวียนรอบปราสาท พร้อมเปล่งอุทานนี้ด้วยเสียงอันไพเราะด้วย ๕ คาถาว่า
“ความดำริของเราว่า ‘เมื่อไร เราจักถวาย ปราสาทใหม่ ฉาบด้วยปูนขาวและดิน เป็นวิหารทาน’ ดังนี้ เราได้บริบูรณ์แล้ว
ความดำริของเราว่า ‘เมื่อไร เราจักถวายเตียงตั่งฟูกและหมอนเป็นเสนาสนภัณฑ์’ ดังนี้ เราได้บริบูรณ์แล้ว
ความดำริของเราว่า ‘เมื่อไร เราจักถวายสลากภัต ผสมด้วยเนื้ออันสะอาด เป็น โภชนทาน’ ดังนี้ เราได้บริบูรณ์แล้ว
ความดำริของ เราว่า ‘เมื่อไร เราจักถวายผ้ากาสิกพัสตร์ ผ้าเปลือก ไม้ และผ้าฝ้าย เป็นจีวรทาน’ ดังนี้ เราได้บริบูรณ์แล้ว.
ความดำริของเราว่า ‘เมื่อไร เราจักถวายเนยใส เนยข้น น้ำผึ้ง น้ำมัน และน้ำอ้อย เป็นเภสัชทาน’ ดังนี้ เราได้บริบูรณ์แล้ว.”
ภิกษุทั้งหลาย ได้ยินเสียงของนางแล้ว กล่าวความปรารถนาทั้ง ๕ ประการสมบูรณ์เช่นนั้น จึงได้กราบทูลแด่พระศาสดาว่า
“พระเจ้าข้า ชื่อว่าการขับร้องของนางวิสาขา พวกข้าพระองค์ไม่เคยเห็นในกาลนาน เหตุใดวันนี้ นางอุบาสิกาผู้แวดล้อมไปด้วยบุตรและหลานจึงได้ขับร้องเพลงรื่นเริงเดินเวียนรอบปราสาท หรือว่าดีของนางเกิดลมกำเริบวิกาลไปแล้วหรือหนอแล หรือนางเสียจริตเสียแล้ว?”
พระศาสดาตรัสว่า
“ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธิดาของเราหาได้ขับเพลงเพื่อความรื่นเริงสนุกสนานไม่ แต่เพราะความปรารถนาของเธอเต็มเปี่ยมแล้ว เธอดีใจว่า “ความปรารถนาที่เราตั้งไว้ ถึงที่สุดแล้ว” จึงเดินเปล่งอุทานออกมาเป็นทำนอง ฟังดูเสนาะเท่านั้น
ภิกษุทั้งหลาย จึงกราบทูลถามว่า
“ก็นางตั้งความปรารถนาไว้เมื่อไร พระเจ้าข้า.”
พระพุทธองค์จึงทรงตรัสว่า “ท่านทั้งหลายต้องการจักฟังหรือ”
เมื่อภิกษุเหล่านั้น กราบทูลว่า “จักฟัง พระเจ้าข้า.”
จึงทรงนำอดีตนิทานมา ตรัสต่อไปนี้ว่า
อ้าว..ดึกมากโขแล้ว จะจำวัดหละ โปรดติดตามตอนต่อไปก็แล้วกัน สายตาชักพร่ามัวแล้ว
เจริญธรรม
พุทธะอิสระ
——————————————–