พระกังขาเรวตเถระ (ตอนที่ ๒)
๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๖๖
ความเดิมตอนที่แล้วจบลงตรงที่ นางเปรตมารดาของอุตตรมาณพไปขอร้องให้พระกังขาเรวตะ ได้โปรดกรุณาตักน้ำให้นางได้ดื่ม ด้วยเพราะนางมิสามารถดื่มน้ำเองได้
เหตุเพราะบุพกรรมชั่วที่นางทำ จึงทำให้น้ำทุกชนิดที่นางดื่มกินเอง จักกลายเป็นน้ำเลือด น้ำหนองไปเสียหมด
นางเปรตตนนั้นจึงมาขอร้อง อ้อนวอนให้พระเถระให้ช่วยกรุณาให้น้ำแก่นางได้ดื่มกิน เพื่อดับกระหายหิว ที่นางมีมาตลอด ๕๕ ปีด้วยการกล่าวว่า
“ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ ถ้าดิฉันตักน้ำในแม่น้ำคงคานี้เอง น้ำนั้นก็จะกลายเป็นโลหิตและหนอง”
พระเถระถามว่า :- ท่านได้กระทำกรรมชั่วอะไรไว้หรือ จึงทำให้น้ำในแม่น้ำคงคากลายเป็นเลือดและหนอง
นางเปรตตอบว่า :- ดิฉันมีบุตรคนหนึ่งชื่ออุตตระ เป็นอุบาสก มีศรัทธา เขาได้ถวายจีวร บิณฑบาต ที่นอน ที่นั่งและคิลานปัจจัย และสร้างวิหารถวายแก่พระสมณะทั้งหลาย ด้วยความไม่พอใจของดิฉัน ดิฉันถูกความตระหนี่ครอบงำแล้ว จึงด่าเขาว่า เจ้าอุตตระ เจ้าถวาย จีวร บิณฑบาต ที่นอน ที่นั่ง และคิลานปัจจัยแก่สมณะทั้งหลายให้สิ้นเปลืองเงินทองไปทำไม
ด้วยความไม่พอใจของดิฉันๆ จึงสาปให้ผลบุญของบุตรชายนั้นให้กลายเป็นเลือดและหนองปรากฏแก่ลูกชายในปรโลก ด้วยเพราะวิบากแห่งกรรมนั้น น้ำในแม่น้ำคงคาจึงกลายเป็นโลหิตและหนองปรากฏแก่ดิฉันทุกครั้งที่จักดื่มกิน
เมื่อได้ฟังนางเปรตเล่าถึงบุพกรรมของตนที่ได้กระทำมาแล้ว พระเถระเพื่อที่จะโปรดนางเปรตนั้นให้ได้พ้นทุกข์ ท่านพระเรวตะ จึงได้ตักน้ำดื่มนั้นนำไปถวายแก่ภิกษุสงฆ์ อุทิศผลบุญนั้นให้สำเร็จประโยชน์แก่นางเปรตตนนั้น
รุ่งขึ้นเช้าพระกังขาเรวตะ ท่านได้ไปบิณฑบาต เมื่อได้รับภัตตาหารมาแล้ว ก็ได้นำไปถวายแก่ภิกษุทั้งหลาย พร้อมอุทิศผลบุญนั้นให้แก่นางเปรต อีกทั้งท่านยังถือเอาผ้าบังสุกุลที่ได้จากกองขยะเป็นต้น ซักแล้วทำให้ เป็นฟูกและหมอน นำไปถวายแก่ภิกษุทั้งหลาย แล้วได้อุทิศให้แก่นางเปรตมารดาของอุตตรมาณพ
ด้วยเหตุนี้นางเปรตตนนั้นจึงได้รับทิพยสมบัติ ดังประสงค์ จนทุกข์ยาก เดือดร้อนที่เกิดจากผลกรรมชั่วของนาง ที่ให้ผลอันเผ็ดร้อนมาตลอด ๕๕ ปี ได้อันตรธานหายไปสิ้น
วันต่อมานางจึงไปยังสำนักพระกังขาเรวตะเถระ พร้อมแสดงทิพยสมบัติที่ตนได้รับจากพระเถระให้ท่านได้เห็น
วันต่อมาพระเถระจึงเล่าเรื่องนางเปรตนั้นแก่บริษัท ๔ ผู้มายังสำนักตน แล้วแสดงธรรกถา มหาชนจึงเกิด ความสังเวชและทำตนเป็นผู้ปราศจากความตระหนี่ และยินดียิ่งในการทำกุศลธรรม มีทานและศีลเป็นต้น
เหตุการณ์ต่อมา พระสัมมัชชนเถระ เมื่อครั้งยังเป็นพระปุถุชน ยังไม่บรรลุมรรคผลอันใด มีปกติเป็นผู้ขยันในการเที่ยวกวาดขยะในที่ต่างๆ ในอาวาสโดยไม่คำนึงถึงกาลเวลา
วันหนึ่ง พระสัมมัชชนเถระนั้น ถือไม้กวาด ไปสู่สำนักของพระเรวตเถระ ผู้นั่งอยู่ในที่พัก แล้วกล่าวว่า
“พระเถระนี้เป็นผู้นี้ ช่างเป็นคนเกียจคร้าน สันหลังยาวมาก บริโภคของที่ชาวบ้านเขาถวายด้วยศรัทธา แล้วก็เอาแต่นั่งๆ นอนๆ ดูหรือรอบๆ ที่พักก็ปล่อยให้สกปรกรกรุกรัง ไม่เป็นที่เจริญตาเจริญใจใดๆ เลย ?”
พระกังขาเรวตเถระ ได้ทราบความตำหนิของพระสัมมัชชนเถระ พระกังขาเรวตเถระจึงดำริว่า “เราจักให้โอวาทแก่ภิกษุผู้ขยันไม่รู้กาล ไม่รู้เวลา” ดังนี้แล้ว จึงกล่าวว่า “มานี่แน่ะ คุณท่าน”
พระสัมมัชชนเถระ จึงเดินเข้ามาหาแล้วกล่าวว่า : อะไร ? ขอรับ
พระเรวตเถระ : ท่านจงไปสรงน้ำเสียก่อน เนื้อตัวมอมแมม เปรอะเปื้อนด้วยธุลีตั้งแต่หัวจรดเท้าเช่นนี้ คงจะไม่มีสมาธิที่จะรับฟังดอก ไปสรงน้ำแล้วค่อยมา
พระสัมมัชชนเถระท่านจึงทำตามที่พระกังขาเรวตะสั่งแล้ว จึงมานั่งอยู่ข้างหน้าของพระเถระ
ลำดับนั้น พระกังขาเรวตเถระจึงกล่าวว่า
“คุณ ธรรมดาภิกษุเที่ยวกวาดอยู่ตลอดทุกเวลานั้นไม่ควร แต่การที่ภิกษุกวาดแต่เช้าตรู่แล้ว เที่ยวบิณฑบาต กลับจากบิณฑบาตแล้ว มานั่งในที่พัก พร้อมทั้งสาธยายอาการ ๓๒ อันเริ่มตั้ง ความสิ้น ความเสื่อมไปแห่งอัตภาพนี้แล้ว ลุกขึ้นกวาดในเวลาเย็น จึงควร ภิกษุไม่ควรกวาดพื้นอยู่ตลอดเวลาเป็นนิตย์ ควรแบ่งเวลาบำเพ็ญสมณธรรมในแต่ละวันบ้าง เช่น ควรเจริญสติสัมปชัญญะให้ตั้งมั่น แล้วพิจารณาให้เห็นความจริงในกายนี้
อันประกอบไปด้วยอาการ ๓๒ ชนิด มีผม, ขน, เล็บ, ฟัน, หนัง, เนื้อ, เอ็น, กระดูก, เยื่อในกระดูก, ม้าม, หัวใจ, ตับ, พังผืด, ไต, ปอด, ไส้ใหญ่, ไส้น้อย, อาหารใหม่, อาหารเก่า (อุจจาระ) , น้ำดี, เสลด, น้ำเหลือง, เลือด, เหงื่อ, ไขมัน, น้ำตา, มันเหลว (เช่นที่ทำให้หน้าเป็นมัน) , น้ำลาย, น้ำมูก, ไขข้อ, มูตร (น้ำปัสสาวะ) , มันสมอง
เมื่อพิจารณาให้เห็นถึงสิ่งที่มีอยู่ภายในกายนี้อย่างแจ่มชัด จักได้ถอนเสียซึ่งอุปาทาน ความยึดถือในร่างกาย”
นับแต่นั้นเป็นต้นมา พระสัมมัชชนเถระนั้นตั้งอยู่ในโอวาทของพระเถระแล้ว ไม่นานเท่าไรก็บรรลุพระอรหัต แต่การที่พระเถระหันมาบำเพ็ญเพียรแทนที่จะเที่ยวกวาดอยู่ทั้งวัน ก็ได้ทำให้ที่ในอาวาสนั้นเกิดรกรุงรัง
ต่อมาหมู่ภิกษุทั้งหลายจึงได้กล่าวกะพระสัมมัชชนเถระนั้นว่า
“สัมมัชชนเถระผู้มีอายุ ทำไมเดี๋ยวนี้ไม่กวาดขยะแล้วหรือ อาวาสจึงได้ดูรกรุงรังเพราะเหตุไรท่านจึงไม่กวาดเล่า?”
พระสัมมัชชนเถระกล่าวตอบกับภิกษุเหล่านั้นว่า ท่านผู้เจริญ กระผมทำอย่างนั้น ในเวลาประมาท บัดนี้ กระผมเป็นผู้ไม่ประมาทแล้ว
ภิกษุทั้งหลายจึงได้มากราบทูลแด่พระศาสดาว่า “พระเถระนี้ พยากรณ์ อรหัตตผล.”
พระศาสดาจึงตรัสว่า “จริงอย่างนั้น ภิกษุทั้งหลาย บุตรของเรา เที่ยวกวาดอยู่ในเวลาประมาทในกาลก่อน แต่บัดนี้ บุตรของเรายับยั้งอยู่ ด้วยความสุขซึ่งเกิดแต่มรรคผล จึงไม่กวาด” ดังนี้แล้ว ตรัสพระคาถา นี้ว่า:
“ก็ผู้ใดประมาทในกาลก่อน ภายหลังไม่ประมาท, ผู้นั้นย่อมยังโลกนี้ให้สว่างได้ เหมือนดวงจันทร์พ้นแล้วจากหมอกฉะนั้น.”
จบไว้แค่นี้ก่อนนะจ๊ะ เราท่านทั้งหลายจะเห็นถึงความจริงที่ว่า ชีวิตและการงานหาได้มีแต่งานภายนอกไม่ ต้องรู้จักแบ่งเวลาทำการงานภายในให้สมบูรณ์จึงจักสำเร็จประโยชน์ของการมีชีวิต
เจริญธรรม
พุทธะอิสระ
——————————————–