สมองนะสมอง สมาธิ สติ ปัญญา

0
32

สมองนะสมอง สมาธิ สติ ปัญญา
๒๖ ตุลาคม ๒๕๖๖

ที่พูดว่า สมองนะสมอง หมายถึง พวกนักการเมืองและข้าราชการไทย ดูท่าจะเป็นโรคสมองฝ่อกันตามๆ กัน เพราะคิดเรื่องยั่งยืน เรื่องถาวร เรื่องประโยชน์สูงประหยัดสุด ให้แก่ชาติให้แก่ประชาชนดูมันช่างสุดแสนยากลำบากเสียเหลือเกิน

ตรงกันข้ามกับการคิดผลาญงบ แสวงหาประโยชน์แล้วก็สร้างคะแนนนิยม หาเสียง เพื่อประโยชน์ตน ประโยชน์พวกพ้อง สมองนักการเมืองและข้าราชการคิดเก่ง คิดเป็น คิดได้ตลอดเวลา

ที่พูดว่า สติ นักการเมืองและข้าราชการไทยส่วนใหญ่ สติก็มีแต่มิจฉาสติ หาได้น้อยที่จะมีคำว่า สัมมาสติ คือ สติเห็นชอบ พิจารณาชอบ ทำประโยชน์อันชอบ เรียกว่า ประหยัดสูงประโยชน์สุดน้อยมาก

ที่เรียกว่า สมาธิ หมายถึง ความตั้งมั่นแห่งการงาน ไม่เคยเจอกับรัฐบาล ยุคใดสมัยใด คือ ไม่ต่อเนื่อง เช่น รัฐบาลนาย ก มาเริ่มต้นทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ แทนที่รัฐบาลนาย ข จะมาต่อยอดให้มันรุ่งเรืองเจริญมากขึ้นกว่าเดิมเหมือนดังที่องค์ล้นเกล้าพระเจ้าอยู่หัว ร.๑๐ พระองค์ท่านทรงต่อยอดพระราชกรณียกิจและโครงการต่างๆ ของพระเจ้าอยู่หัว ร.๙ ทรงทำให้ดูเป็นครูให้เห็น แต่ข้าราชการและนักการเมืองไทยก็ไม่เคยคิดจะใส่ใจ สนใจ ทำให้การงานนั้นๆ ตั้งมั่น ยั่งยืน สืบเนื่อง ยาวนาน เป็นปึกแผ่น

แต่กลับมาสร้างงานที่มันต่างคนต่างทำ ไม่มีพลัง ไม่สามารถต่อยอด ต่อเนื่อง ทั้งที่เขามีสภาวิจัยแห่งชาติ ถึงขนาดลงทุนสุมหัวกันเขียนแผนพัฒนาสังคม เศรษฐกิจแห่งชาติออกมา ไม่รู้กี่ฉบับต่อกี่ฉบับ รัฐบาลต่อๆ มาก็ไม่เคยหยิบเอามาใช้

เพราะฉะนั้นจะมาถามหาความต่อเนื่อง และยั่งยืนกับข้าราชการและนักการเมืองไทยดูจะยากเย็นแสนเข็ญ ยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทร

นี่ไม่ต้องพูดถึงเรื่องปัญญา เพราะคิดได้แต่เรื่องแคบๆ สั้นๆ ไม่เคยคิดที่จะวางแผนระยะยาว และดำเนินตามแผนนั้นๆ ให้มันสำเร็จประโยชน์ คุ้มค่า คุ้มเวลาที่เสียไป หรือคุ้มกับงบประมาณที่ใช้

ดูตัวอย่างเช่น เวลานักการเมืองแต่ละพรรค เลือกตั้งแต่ละครั้ง ก็ออกมาโพนทะนาให้ชาวไทยและชาวโลกเขารับรู้ ว่าจะผลักดันให้ประเทศไทยเป็นครัวของโลก เป็นคลังอาหารโลก เป็นขบวนการผลิตอาหารของโลก เป็นซัพพลายเออร์

ขณะเดียวกันก็ไม่เคยเห็นรัฐบาลชุดไหน ดำเนินการสนับสนุนเกี่ยวกับต้นทุนการผลิตอาหารของโลก หรือครัวของโลก แม้ที่สุดเกษตรกรไทยที่เมื่อไหร่ๆ ก็ยังเป็นชนชั้นระดับรากหญ้า ไม่เคยเงยหน้าลืมตาอ้าปาก

กี่ปีกี่ชาติ ก็ยังจนเหมือนเดิม เหตุที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะว่า ปัจจัยของการผลิตที่รัฐบาลจะต้องสร้างให้เกิด เพื่อทำให้เกิดประโยชน์ต่อเกษตรกรหามีไม่ ถึงมีก็แบบชนิดผลุบๆ โผล่ๆ ไม่ต้องอะไรเอาง่ายๆ แค่คำว่าน้ำ ทุกปีประเทศไทย คนไทย เกษตรกรไทยต้องเผชิญปัญหาเดี๋ยวก็น้ำท่วม หรือไม่ก็น้ำแล้ง และก็ต้องซื้อปุ๋ยแพง

แทนที่รัฐบาลชุดนี้จะนำเงิน ๕-๖ แสนล้านบาท ไปทุ่มเทสร้างและสนับสนุนปัจจัยแห่งการผลิตอาหาร กลับคิดแต่จะเอาเงินไปละลายน้ำทิ้ง โดยไม่ฟังเสียงทักท้วง ห้ามปราม แทนที่จะนำเงินนั้นมาลงทุนทำปัจจัยพื้นฐานในการทำให้เกิดคำว่า ครัวของโลกอย่างสมบูรณ์ เช่น ทำระบบชลประทาน ป้องกันทั้งน้ำท่วมและน้ำแล้งทั้งประเทศ ซึ่งเงิน ๕-๖ แสนล้านบาท สามารถนำมาทำระบบชลประทานได้อย่างเหลือเฟือ

รวมไปถึงทำโรงงานปุ๋ย เห็นริเริ่มทำเอาไว้ เวลานี้ไอ้โรงงานเหล่านั้นกลายเป็น โรงงานร้าง ซึ่งในสมัยรัฐบาลยุคของพลเอก เปรม ติณสูลานนท์ ได้คิดริเริ่มทำโรงงานปุ๋ยแห่งชาติ (บริษัท ปุ๋ยแห่งชาติ จำกัด)

ถึงวันนี้ผ่านมากี่ ๑๐ ปี แล้วประเทศไทยยังต้องซื้อปุ๋ยต่างชาติราคาแพงใช้อยู่เลย เหมือนกับจะกลัวว่า บริษัทขายปุ๋ยในประเทศจะจนลง แต่ไม่สนใจว่าคนใช้นั้นจะยากจน และรัฐบาลต่อๆ มายังหน้าด้านมาประกาศให้ชาวโลกเขารับรู้ว่า ประเทศไทยจะเป็นครัวของโลก

แถมยังพูดอย่าง ทำอย่าง หรือเป็นเพราะ ข้าราชการและนักการเมืองแต่ละยุค แต่ละสมัย อยากจะให้ประเทศไทยลุ่มๆ ดอนๆ ประสบปัญหาบ่อยๆ เพราะอะไร ก็เพราะถ้ามันยั่งยืน มันเบิกงบต่อไม่ได้ มันได้ก็ได้แต่แรกๆ แต่ต่อๆ มามันเบิกงบไม่ได้ มันก็เลยผลาญงบไม่ได้ ซึ่งก็หมายถึง เงินทอนใต้โต๊ะใต้เตียง จะต้องขัดสนไปด้วย

เป็นเพราะเหตุนี้หรือเปล่า พวกนักการเมืองไทยถึงคิดและทำไม่ได้ หรือไม่พยายามทำ ไม่เคยแก้ปัญหาให้ปัจจัยพื้นฐานในการผลิตอาหารมันยั่งยืน

เอาเฉพาะแค่เรื่องน้ำอย่างเดียว ถ้าทำกันจริงๆ จังๆ เงิน ๕ แสนล้านเหลือเฟือ ทำผนังกั้นน้ำ ขุดลอกคูคลอง ทำคลองส่งน้ำในระบบท่อ ระบบราง

ทำไมมันจะไม่เกิดประโยชน์แก่เกษตรกรและประชาชน สามารถจะนำน้ำมาใช้ได้ทั้งฤดูน้ำหลาก น้ำแล้ง ปลูกพืชผล เพาะปลูกได้ทั้งปี

อิสราเอล เขาเป็นประเทศทะเลทราย มีแต่ทรายมีแต่หิน เขายังสามารถเอาน้ำทะเลมาผลิตเป็นน้ำจืด ทำให้เกิดเมืองเกษตรกร ชุมชนเกษตรกร นิคมเกษตรกร กระจายไปทั่ว จนคนไทยต้องไปขายแรงงาน รับจ้างเขาทำเกษตร เสี่ยงตายกันหลายหมื่นคนกันอยู่ในปัจจุบันนี้

และหากจะถามประเทศไทยว่ามีศักยภาพมากมั้ย เมืองไทยคนก็มากกว่าเขา ทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม ภูมิรัฐศาสตร์ก็ดีกว่าเขา แต่รัฐบาลไทย นักการเมืองไทย ไม่เหมือนเขาไง บ้านเมืองเรามันถึงได้ลุ่มๆ ดอนๆ อยู่ปัจจุบันนี้ไง ได้อย่างเสียอย่าง ขาดๆ เกินๆ ดังเช่นทุกวันนี้

คิดซิคิด ใช้สมองเยอะๆ หน่อย หาเหตุหาผล หาประโยชน์แท้จริง ให้แก่ชาติบ้านเมืองเยอะๆ หน่อย อย่าขวนขวายคิดแต่จะตักตวงเอาแต่ประโยชน์ตน ปากที่อ้างตอนเวลาหาเสียงก็บอกว่า ทำเพื่อประชาชน เพื่อประชาชน แต่ก็ไม่ลืมที่จะเอาประโยชน์ตนเข้าไปแอบแฝงด้วย

ไอ้คิดจะแจกเงิน ๕ แสนล้าน คนได้รับเงินก็ดีใจ แต่หารู้ไม่ว่า แต่ละบาทที่เขามาแจกให้ ก็คือเลือดเนื้อของประชาชนที่ต้องหาเงิน ที่ต้องเสียภาษี และเอาเงินไปชดเชย ชดใช้หนี้ในอนาคต
ซึ่งก็ไม่รู้ว่าอีกกี่ปีจะใช้หนี้หมด

ขนาดโครงการจำนำข้าว ลุงตู่แกพยายามทยอยใช้หนี้มาทุกปีจนถึงวันนี้ก็ยังมีหนี้คงค้างชำระอีกเกือบ ๒ แสนล้านบาท ก็ยังไม่รู้ว่ารัฐบาลชุดนี้จะรับผิดชอบยังไง

(โครงการจำนำข้าวขาดทุน 957,000 ล้านบาท ใช้หนี้ไปแล้ว 705,000 ล้านบาท ยังเหลือภาระหนี้อีก 280,000 ล้านบาท )

แม้ประชาชนได้คนละหมื่น ว่ากันจริงใช้กันกี่วันเดียวก็หมด หากนำเงินที่คิดจะแจกไปลงทุนสร้างอนาคตให้ประเทศก็จะได้รับประโยชน์กันไม่มีวันหมด

ประเทศไทยมีแต่นักการเมืองและข้าราชการที่คิดไม่ได้ มันถึงได้เป็นเวรกรรมของประชาชน

เวรกรรม เวรกรรม

พุทธะอิสระ

——————————————–

ลิ้งค์จาก : https://www.facebook.com/buddha.isara/posts/pfbid07r7YgP3efMavZ7uZ4KArdZoxV65Vf3y2CWjUaPk5G28hWWNry731ga1Hn3LG9B6Fl