ใครต่อใครที่สงสัยว่า ทำไมช่วงนี้มีบรรดานักร้องอาชีพและนักร้องสมัครเล่นพากันดาหน้าเดินเข้าไปร้อง กกต. ให้ยุบพรรคก้าวไกลให้อ่านตรงนี้

0
27

๒๔ พฤษภาคม ๒๕๖๖

ใครต่อใครที่สงสัยว่า ทำไมช่วงนี้มีบรรดานักร้องอาชีพและนักร้องสมัครเล่นพากันดาหน้าเดินเข้าไปร้อง กกต. ให้ยุบพรรคก้าวไกลให้อ่านตรงนี้

ด้วยพฤติกรรมของบุคคลในพรรคก้าวไกลที่มีมาแล้วในอดีต และในปัจจุบัน ผู้คนในสังคมไทยคงไม่มีใครปฏิเสธว่า พรรคและคนของพรรคก้าวไกลมีพฤติกรรมที่สนับสนุน ปกป้องบุคคลผู้แสดงออกซึ่งการบูลลี่ ด้อยค่า ด่าว่าสถาบันมาเป็นระยะเวลาแรมปี

ทั้งในสภาและนอกสภา นี่เป็นความจริงที่ทุกคนในประเทศนี้เขารับรู้กันมาอย่างยาวนาน

ทั้งที่ประเทศนี้ก็มีพรรคการเมืองที่จดทะเบียนกับ กกต. จำนวน ๘๓ พรรคการเมือง (ข้อมูล ณ วันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๖๖) และที่ได้เข้าไปนั่งในสภาก็มี ๒๖ พรรคการเมือง

แต่กลับไม่มีพรรคไหนเขาล้ำเส้นไปก้าวล่วงละเมิดสถาบันพระมหากษัตริย์ใดๆ เลย

นั่นก็คงเป็นเพราะพรรคการเมืองเหล่านั้น เขาเคารพรัฐธรรมนูญในบทบัญญัติที่ว่าด้วยประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข

แต่พฤติกรรมของนักการเมืองในอดีตของพรรคก้าวไกล คือ พรรคอนาคตใหม่และพรรคก้าวไกลในปัจจุบันไม่เคยแสดงความเคารพ ยอมรับ บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญข้อนี้เลย

พิสูจน์ได้จากพฤติกรรมสะสมที่ผู้ก่อตั้งพรรคก้าวไกลและพรรคอนาคตใหม่ แต่ละคนแสดงออกมาเป็นระยะเวลายาวนาน

จนนำมาซึ่งการที่พุทธะอิสระต้องไปแจ้งความร้องทุกข์ กรณีละเมิดมาตรา ๑๑๒ แก่ผู้ก่อตั้งพรรคก้าวไกลและพวก

เช่นนี้แหละจึงเป็นมูลเหตุทำให้บรรดานักร้องทั้งหลาย นำเอาหลักฐานและประจักษ์พยานไปยื่นยุบพรรคก้าวไกลไงหละ

ทีนี้เรามาตามดูข้อเท็จจริงทั้งด้านพฤติกรรมของพรรคก้าวไกล และข้อเท็จจริงในด้านกฎหมายกันดูบ้างเขาว่าอย่างไร

**********************************************

วันที่ ๓ พฤศจิกายน ๒๕๖๔ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ในฐานะหัวหน้าพรรค ก้าวไกลได้มีหนังสือ ถึงเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติม ประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่…) พ.ศ. ……(แก้ไขเกี่ยวกับความผิดฐานหมิ่นประมาท) ของ พรรคก้าวไกลซึ่งสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ได้ลงรับเลขรับที่ ๑๕๔๔๙/๒๕๖๔

ทั้งที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.๒๕๖๐ มาตรา ๖ บัญญัติว่า “องค์พระมหากษัตริย์ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ ผู้ใดจะกล่าวหาหรือฟ้องร้องพระมหากษัตริย์ในทางใดมิได้”

แต่พรรคก้าวไกลโดยนายพิธา ก็ยังฝืน ขืนส่งร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๑๒ ส่งให้กับเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร เพื่อบรรจุเข้ารับการพิจารณาในสภาผู้แทนราษฎร โดยมีเนื้อหาของร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวลงเผยแพร่อยู่ในเว็บไซต์ของพรรคก้าวไกลเป็นสาธารณะแก่ประชาชนทั่วไปเกี่ยวกับนโยบายพรรคก้าวไกลเรื่องแก้ไขมาตรา ๑๑๒

ซึ่งความจริงแล้ว ส่วนที่พรรคก้าวไกลขอแก้ดูผิวเผินเหมือนดังการแก้ไข แต่โดยเนื้อแท้แล้วมีผลเป็นการยกเลิกมาตรา ๑๑๒ โดยมีสาระสำคัญคือ

ลดโทษหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ให้เหลือเพียงจำคุกไม่เกิน ๑ ปีหรือ ปรับไม่เกิน ๓๐๐,๐๐๐ บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ลดโทษหมิ่นประมาทพระราชินี รัชทายาท ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ จำคุกไม่เกิน ๖ เดือนหรือปรับไม่เกิน ๒๐๐,๐๐๐ บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ย้ายกฎหมายหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ออกจากหมวดความมั่นคงให้ เป็นความผิดที่ยอมความได้ โดยกำหนดให้สำนักพระราชวังเป็นผู้มีสิทธิแจ้งความหรือร้องทุกข์ กล่าวโทษเพียงผู้เดียว

การวิพากษ์วิจารณ์โดยสุจริตหรือการพูดความจริงที่เป็นประโยชน์ต่อ สาธาณะ ซึ่งเป็นมาตรฐานเดียวกันกับเหตุยกเว้นความผิดและเหตุยกเว้นโทษสำหรับการหมิ่นประมาทบุคคลธรรมดา

แม้กระทั้งในระหว่างการหาเสียงเลือกตั้ง พ.ศ.๒๕๖๖ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ในฐานะ หัวหน้าพรรคก้าวไกลได้ยืนยันนโยบายของพรรคก้าวไกลที่จะยกเลิกมาตรา ๑๑๒ ตามที่กล่าว มาข้างต้นอยู่หลายครั้ง

ดังเช่นเมื่อวันที่ ๒๕ มีนาคม ๒๕๖๖ เวทีปราศรัยหาเสียงของพรรคก้าว ไกลที่สวนสาธารณะเทศบาลนครแหลมฉบัง นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกลได้ ยืนยันนโยบายของพรรคก้าวไกลโดยได้นำสติ๊กเกอร์สีแดงปิดลงในช่อง“ยกเลิก ม.๑๑๒” บนเวทีปราศัยหาเสียง
,
เมื่อวันที่ ๑๘ เมษายน ๒๕๖๖ ในรายการ ไทยรัฐดีเบต และเมื่อวันที่ ๒๕ เมษายน ๒๕๖๖ ในรายการเดอะ สแตนดาร์ดดีเบต ที่นายพิธาแสดงออกอย่างชัดเจนต่อการยกเลิก มาตรา ๑๑๒

การกระทำของพรรคก้าวไกลทั้งในอดีตและปัจจุบัน เป็นเครื่องชี้ชัดให้วิญญูชนได้พิจารณาเห็นได้ว่า เป็นไปเพื่อหวังผลที่จะทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์อ่อนแอลงซึ่งก็เข้าลักษณะตามคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ ๓/๒๕๖๒ เรื่อง คณะกรรมการการ เลือกตั้งขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยเพื่อมีคำสั่งยุบพรรคไทยรักษาชาติและคำวินิจฉัย ศาลรัฐธรรมนูญที่ ๑๙/๒๕๖๔ เรื่อง การใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบ ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามรัฐธรรมนูญมาตรา ๔๙ วรรคหนึ่ง ที่วินิจฉัยไว้ในคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญดังนี้

๑. การยกเลิกกฎหมายที่ห้ามผู้ใดล่วงละเมิด หมิ่นประมาท หมิ่นพระบรม เดชานุภาพ สถาบันพระมหากษัตริย์ หรือแก้ไขกฎหมายดังกล่าวจะส่งผลให้สถาบันพระมหา กษัตริย์ไม่อยู่ในสถานะที่เคารพสักการะอันนำไปสู่การสร้างความปั่นป่วนและความกระด้าง กระเดื่องในหมู่ประชาชน เป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพที่เกินความพอเหมาะพอควรโดยมีผลทำ ให้กระทบกระเทือนหรือเป็นอันตรายต่อความมั่นคง ของรัฐความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอัน ดีของประชาชน และจะนำไปสู่การบ่อนทำลายการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมี พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขในที่สุด (ตามคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ ๑๙/๒๕๖๔ หน้าที่ ๔๕ ฉบับราชกิจจานุเบกษาเป็นผู้เผยแพร่)

๒. สถาบันพระมหากษัตริย์ของไทยเป็นเสาหลักสำคัญที่จะขาดเสียมิได้ใน การปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ดังนั้น การกระทำใด ๆ ที่มีเจตนาเพื่อทำลายหรือทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์ต้องสิ้นสลายไป ไม่ว่าจะโดยวิธีการพูด การเขียน หรือการกระทำต่าง ๆ เพื่อให้เกิดผลเป็นการบ่อนทำลาย ด้อยคุณค่า หรือทำให้ อ่อนแอลงย่อมแสดงให้เห็น ถึงการมีเจตนาเพื่อล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์(ตามคำวินิจฉัย ศาลรัฐธรรมนูญที่ ๑๙/๒๕๖๔ หน้าที่ ๔๗ ถึง ๔๘ ฉบับราชกิจจานุเบกษาเป็นผู้เผยแพร่)

๓. ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. ๒๕๖๐ มาตรา ๙๒ วรรคหนึ่ง (๑) หรือ (๒) แล้วแต่กรณี จะอ้างความไม่รู้ความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ หรือความเห็นความเชื่อของตนมาเป็นข้อแก้ตัวให้หลุดพ้นจากความรับผิดชอบต่อการกระทำนั้น ไม่ได้ ส่วนคำว่า “ปฏิปักษ์” นั้นไม่จำต้องรุนแรงถึงขนาดมีเจตนาที่จะล้มล้าง ทำลายให้สิ้นไป ทั้ง ยังไม่จำต้องถึงขนาดตั้งตนเป็นศัตรูหรือฝ่ายตรงข้ามเท่านั้น เพียงแค่เป็นการกระทำที่มีลักษณะ เป็นการขัดขวางหรือสกัดกั้นมิให้เจริญก้าวหน้า หรือเป็นการกระทำที่ก่อให้เกิดผลเป็นการเซาะ กร่อน บ่อนทำลาย จนเกิดความชำรุดทรุดโทรม เสื่อมทราม หรืออ่อนแอลง ก็เข้าลักษณะของการ กระทำที่เป็นปฏิปักษ์ได้แล้วสำหรับประเด็นเรื่องเจตนานั้น เมื่อมาตรา ๙๒ วรรคหนึ่ง (๒) บัญญัติ ชัดเจนว่า เพียงแค่“อาจเป็นปฏิปักษ์” ก็ต้องห้ามแล้ว หาจำต้องมีเจตนาประสงค์ต่อผล หรือต้อง รอให้เกิดผลเสียหายร้ายแรงขึ้นจริงเสียก่อนไม่ ทั้งนี้ก็เพื่อให้เป็นมาตรการป้องกันความเสียหาย ร้ายแรงที่อาจจะเกิดแก่สถาบันหลักของประเทศไว้ก่อน อันเป็นรัฐประศาสโนบายที่จำเป็นเพื่อดับ ไฟกองใหญ่ไว้แต่ต้นลม (ตามคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ ๓/๒๕๖๒ หน้าที่ ๔๖ ฉบับราชกิจจานุเบกษาเป็นผู้เผยแพร่)

๔. การมุ่งหวังผลประโยชน์ทางการเมืองโดยไม่คำนึงถึงหลักการพื้นฐานสำคัญ ของการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขเป็นการสุ่มเสี่ยง ต่อการสูญเสียสถานะที่จะต้องอยู่เหนือการเมืองและดำรงความเป็นกลางในทางการเมือง อัน เป็นจุดเริ่มต้นของการเซาะกร่อนบ่อนทำลาย เป็นเหตุให้ชำรุดทรุดโทรมสื่อมทราม หรือ อ่อนแอลง เข้าลักษณะของการกระทำที่อาจเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามมาตรา ๙๒ วรรคหนึ่ง (๒) อย่างชัดแจ้งแล้ว (ตามคำ วินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ ๓/๒๕๖๒ หน้าที่ ๔๗ ฉบับราชกิจจานุเบกษาเป็นผู้เผยแพร่)

******************************************

เหล่านี้คือข้อเท็จจริงในพฤติกรรมของผู้ก่อตั้งพรรคก้าวไกล และหัวหน้าพรรคก้าวไกลพร้อมพวก

หากจะเขียนให้รู้โดยละเอียด อีกสิบหน้ากระดาษก็คงจะเขียนมาให้อ่านไม่หมด

นี่ยังไม่รวมที่พรรคก้าวไกลประกาศ ๓๐๐ นโยบายตอนหาเสียง พร้อมทั้งกำหนดเวลาว่าจะทำให้ได้

ประเด็นมันอยู่ที่ว่า ถ้าได้เป็นรัฐบาลแล้วยังทำไม่ได้ ก็เข้าข่ายหลอกล่อ หลอกลวงให้ประชาชนมาลงคะแนนเสียงให้ ถือเป็นความผิด พรบ. การเลือกตั้งก็มีสิทธิ์ ที่จะถูกยุบพรรคได้เหมือนกัน

วันนี้เอาแค่นี้แหละ

เท่านี้ก็คงจะสร้างความหนาวๆ ร้อนๆ ให้เกิดขึ้นแก่บรรดาเอฟซีพรรคน้ำแข็งไส พอสมควรแล้วหละ

วันหน้าจะนำเอา ๓๐๐ นโยบาย ช่วยเขาเผยแพร่ต่อนะจ๊ะ

งานนี้ก็คงต้องขออนุญาตพรรคก้าวไกลด้วย

พุทธะอิสระ

——————————————–

ลิ้งค์จาก : https://www.facebook.com/buddha.isara/posts/pfbid0JnY597RjLK3vutFcBB8CPJYKSj8xuADAMNiJAetnzxPzuT4CGgohzTpBoGhuhXFnl