ประวัติ ท่านพระกุมารกัสสปะ (ตอนที่ ๙)
๒๕ มีนาคม ๒๕๖๖
หลังจากที่นางภิกษุณีกุลธิดาได้บรรลุพระอรหันต์แล้ว ความห่วงใยอาลัยอาทรที่นางมีต่อบุตรชาย คือ พระกุมารกัสสปะก็อันตรธานหายไปเสียสิ้น เหลือไว้แต่เพื่อนสัตว์โลกผู้ร่วมเกิด แก่ เจ็บ ตาย เท่านั้น
อีกทั้งนางยังช่วยรับภาระการคณะภิกษุณีสงฆ์ ด้วยการรับเป็นภาระธุระในการทำความสะอาด ปัดกวาดเช็ดถูดูแลตักน้ำใช้น้ำฉันตั้งไว้ในโรงฉัน และจัดคิวกิจนิมนต์ที่มีผู้ศรัทธาเข้ามานิมนต์พระภิกษุณีสงฆ์ไปฉลองศรัทธา แด่ญาติโยมผู้ปรารถนาผลบุญจากหมู่ภิกษุณีสงฆ์
ส่วนพระกุมารกัสสปะเมื่อได้ช่วยกระตุ้นให้ภิกษุณีกุลธิดามารดาได้ละทิ้งความห่วงหาอาวรณ์ในลูกชายได้แล้ว จึงเที่ยวไปจาริกไปตามนิคมชนบท พร้อมด้วยบริวารสงฆ์จำนวน ๕๐๐ รูป
จนเดินทางมาถึงแคว้นโกศล ในนครเล็กๆ ชื่อเสตัพยะ
ท่านและหมู่สงฆ์บริวารได้เข้าไปพักนำอยู่ในป่าไม้สีเสียด ที่ตั้งอยู่ใจกลางพระนคร เสตัพยะนครเล็กๆ แห่งนี้อันเป็นศูนย์กลางการค้าขายของแคว้นโกศล มีเจ้าชายปายาสิปกครอง มีประชาชนอยู่อาศัยอย่างคับคั่ง
นครแห่งนี้จึงอุดมไปด้วยผู้คน ปศุสัตว์ หญ้า น้ำ และอาหาร เป็นแหล่งทำรายได้เพื่อจัดส่งไปเป็นบรรณาการให้แก่พระเจ้าปเสนทิโกศล
แต่ด้วยเจ้าชายปายาสิผู้ปกครองเสตัพยะนคร เป็นมิฉาทิฐิ โดยมีความเห็นผิดว่า
ชีวิตหลังความตายไม่มี โลกหน้าไม่มี สัตว์ทั้งหลายเมื่อตายแล้ว ก็ตายเลยไม่มีการพุดเกิด ขณะมีชีวิตอยู่ใครจักทำดี ทำชั่วอย่างไรก็ไม่มีผลส่งให้ถึงโลกหน้าหรือโลกไหนๆ
ด้วยความคิดเห็นเช่นนี้ เจ้าชายปายาสิจึงเอาแต่ขวนขวาย แสวงหาแต่กามคุณ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส เสพติดความเพลิดเพลินในรสชาติแห่งกามคุณ โดยไม่คำนึงระลึกถึงบาป บุญ คุณ โทษ ประโยชน์ และมิใช่ประโยชน์ ปล่อยชีวิตให้เสพติดในตัณหา และรสชาติแห่งกามคุณฝ่ายเดียว
วันหนึ่งขณะที่เจ้าชายปายาสิได้พักผ่อนอยู่ในปราสาท เสียงผู้คน มหาชนพากันส่งเสียงชักชวนกันเดินทางไปสู่ป่าไม้สีเสียดเป็นกลุ่มๆ ดูโกลาหลยิ่งนัก
ราชาปายาสิจึงเรียกเจ้าพนักงานที่คอยรับใช้มาตรัสถามว่า
พวกเจ้ารู้ไหมว่า เหตุใดมหาชนถึงได้พากันเดินทางไปสู่ป่าไม้สีเสียดเล่า
เจ้าพนักงานจึงทูลว่า
ขอเดชะพระอาญามิพ้นเกล้า เหตุที่มหาชนพากันเดินทางไปสู่ป่าไม้สีเสียดก็เพราะ บัดนี้พวกสมณสาวกแห่งพระมหาสมณโคตมศากยวงศ์ ได้พากันจาริกมาพักนำอยู่ในป่าไม้สีเสียด โดยมีพระกุมารกัสสปะเถระเป็นหัวหน้านำพระภิกษุสงฆ์บริวารมาพักนำอยู่ ๕๐๐ รูป พระเจ้าขา
ด้วยกิติคุณอันงามของพระกุมารกัสสปะและหมู่สงฆ์ได้ขจรขจายไปไกลว่า ภิกษุสงฆ์สาวกแห่งองค์พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นบัณฑิต มีปัญญาเฉียบแหลม เป็นพหูสูต มีวาจาอันเป็นสัจจะ ไพเราะวิจิต มีปฏิญาณอันดี เป็นผู้ไกลจากเครื่องร้อยรัดทั้งปวงแล้ว
ด้วยกิตติศัพท์อันงดงามเช่นนี้ มหาชนทั้งปวงจึงพากันไปดูชมความมหัศจรรย์อันงดงามเช่นนั้น
ราชาปายาสิครั้นได้ฟังจึงเกิดความแปลกใจดำริว่า ในโลกใบนี้ยังมีมนุษย์ที่มีคุณอันวิเศษเช่นนี้ มีอยู่จริงหรือ หรือจะเป็นแค่พวกต้มตุ๋นอย่างที่เราเคยเจอมา
ดีหละเช่นนั้นเราจักไปดูให้เห็นกับตา ว่าแล้วจึงทรงตรัสว่า เจ้าจงรีบลงไปแจ้งแก่ชาวพระนครว่า ให้รอเราก่อน เดียวเราจักลงไปร่วมเดินทางไปป่าไม้สีเสียดด้วย
พุทธะอิสระ
——————————————–