เอาบุญมาฝาก (ตอนที่ ๒)
๑๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๖
วันศุกร์ที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๖ เดินทางออกจากที่พักตั้งแต่เช้า เพื่อให้มาก่อนที่เด็กนักเรียนโรงเรียนบ้านแหลมสันติ มีเด็กตั้งแต่ชั้นอนุบาล ๑ ถึงชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖ มารวมพลเคารพธงชาติ
อีกทั้งยังต้องการมาดูพฤติกรรม กิจกรรมยามเช้าของครูและนักเรียน ว่าพวกเขาทำอะไรกัน
สิ่งหนึ่งที่สัมผัสได้และเป็นสิ่งที่ฉันชอบมากๆ คือ โรงเรียนนี้อยู่ทามกลางบรรยากาศป่าไม้พะยอมและไม้เคี่ยม ซึ่งมีอยู่รอบโรงเรียน ต้นไม้แต่ละต้นจักสูงใหญ่ช่างน่าชื่นใจ ชวนให้ตื่นตาตื่นใจในความอลังการ งดงามของธรรมชาติ แบบป่ารอบรอบโรงเรียน ป่ากลางบ้าน
ฉันอาจจะมาถึงโรงเรียนเช้าไป เด็กยังมากันไม่มากเห็นพ่อแม่ผู้ปกครองจูงลูกหลานนั่งซ้อนท้ายจักรยาน มอเตอร์ไซค์นำลูกหลานมาส่งโรงเรียนกันเป็นระยะๆ
เด็กบางคนก็แต่งชุดนักเรียนเต็มชุด เด็กบางคนก็มีใส่ชุดนักเรียนเก่าๆ สวมรองเท้าแตะสะพายย่าม หรือกระเป๋าเป้เก่าๆ ใส่สัมภาระหนังสือมาเต็มกระเป๋า
ทำให้เห็นถึงความแตกต่างหลากหลาย ต่อสถานะของพ่อแม่ผู้ปกครองของเด็ก
พอมาถึง เห็นอาจารย์ใหญ่รีบใส่เสื้อ วิ่งบ้าง เดินบ้าง ตรงมาต้อนรับพร้อมกับทักว่า ท่านมาแต่เช้าเลย
ขณะนั้นก็มีบรรดาครูผู้หญิงก็ทยอยเดินเข้ามาไหว้อย่างนอบน้อมพร้อมส่งยิ้มให้
ฉันจึงแจ้งต่ออาจารย์ใหญ่ว่า คุณไม่ต้องเกรงใจไปทำธุระส่วนตัวให้เรียบร้อยก่อน ฉันแค่ต้องการมาเดินชมป่าไม้ของโรงเรียนที่ร่มรื่นเท่านั้น
อาจารย์ใหญ่จึงบอกว่า ผมเรียบร้อยแล้วครับ รอต้อนรับท่านเช่นกัน หากท่านต้องการเดินชมป่า ผมจะอาสาพาท่านไปชม
อาจารย์บรรยายให้ฟังว่า ป่าไม้รอบโรงเรียนนี้ส่วนใหญ่เป็นไม้เคี่ยม ไม้พะยอม ไม้มะหาด ไม้หว้าป่า จะมีมะม่วงป่าไม่กี่ต้น
พื้นที่ป่าแห่งนี้เป็นของกรมป่าไม้ ยกให้มหาวิทยาลัยแม่โจ้ดูแล และส่วนหนึ่งก็อยู่ในความดูแลของโรงเรียน
ฉันถามอาจารย์ใหญ่ว่า มีพื้นที่ทั้งหมดกี่ไร่
อาจารย์ตอบว่า ในส่วนของโรงเรียนมีประมาณ ๕๐ ไร่ ที่เหลือพันกว่าไร่ อยู่ในความดูแลของมหาวิทยาลัยแม่โจ้
ฉันเลยพูดกับครูใหญ่ว่า ขอให้อนุรักษ์พื้นที่ป่าอันงดงาม มีคุณค่าเอาไว้ให้เป็นมรดกแก่ลูกหลานได้ดู วันข้างหน้าเขาจักได้รู้ว่าต้นไหนเป็นไม้เคี่ยม ต้นไหนเป็นไม่พะยอม ต้นไหนเป็นไม้มะหาด และไม้มีค่าอื่นๆ ถือว่าโรงเรียนคุณครูรักษาและส่งมอบมรดกของแผ่นดินให้แก่ลูกหลานไทย
พอถึงเวลาเข้าแถวเคารพธงชาติ เด็กๆ ก็มารวมตัวกันเข้าแถวหน้าเสาธง
ขณะนั้นมีรถโดยสารรุ่นเก่าซึ่งมีตัวถังเป็นไม้ทรงคลาสสิก วิ่งมาส่งเด็กนักเรียนประมาณ ๒๐ กว่าคน
ฉันจึงถามครูใหญ่ว่า เด็กมาจากไหน
ครูใหญ่รายงานว่า เป็นเด็กที่อยู่ในบ้านเด็กกำพร้าของมูลนิธิอะไรสักอย่างฉันฟังไม่ชัด
ครูใหญ่อธิบายต่อว่า เด็กพวกนี้ส่วนใหญ่พ่อแม่แยกทาง บางคนก็พ่อแม่ติดคุกคดียาเสพติด บางคนพ่อแม่ก็ตายเพราะออกทะเล จึงเข้าไปอยู่ในความดูแลของมูลนิธิให้การอุปถัมภ์
ฉันมองดูเด็กด้วยความพินิจพิจารณา ทำให้เห็นแววตาอันละห้อย เศร้าสร้อย พยายามมองหน้าเด็ก เด็กๆ ก็ไม่กล้าสบตา รีบเดินก้มหน้าไปเข้าร่วมในแถว
เมื่อเคารพธงชาติแล้ว พวกเด็กๆ ก็สวดมนต์แถมด้วยแผ่เมตตา แล้วทำสมาธิ ซึ่งพิเศษกว่าทุกโรงเรียนที่เห็นมา อีกทั้งเวลาร้องเพลงชาติ สวดมนต์ แผ่เมตตา ทำสมาธิ หรือร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี ทุกขั้นตอนล้วนกระทำด้วยความจริงจัง จริงใจที่จะทำ ช่างน่าชื่นชม
ฉันเลยไม่มีอะไรจะพูดกับเด็กๆ ในเวลาที่ครูใหญ่มาถาม ได้แค่เพียงชื่นชมอยู่ในใจ
พอได้เวลาแจกขนมคุกกี้ และปัจจัยคนละ ๕๐ บาท แก่เด็กๆ พร้อมกับสังเกต ดูสีหน้า แววตาของเด็กแต่ละคน
ดูพวกเขามีความสุข ลิงโลด ยินดี จะมีก็แต่เด็กที่มาจากบ้านเด็กกำพร้า ๒๐ คน ที่ดูสีหน้า แววตา แม้จะดูดีใจ แต่ก็ปนไปด้วยความซึมเศร้า แถมตามแขนขายังมีริ้วรอยของไม้เรียว แม้จะไม่ทุกคน แต่รอยตีที่ปรากฎดูรุนแรง จนมีแผลแตกจากการถูกตี
ทำให้เกิดความสงสารอย่างจับใจ คิดอยู่ในใจว่า ต้องหาโอกาสเข้าไปเยี่ยมดูชีวิตความเป็นอยู่ของเด็กๆ พวกนี้ในที่อยู่ของเขาสักหน่อย
แต่คงจะไปมือเปล่าไม่ได้ คงต้องนำข้าวสารอาหารแห้งติดไม้ติดมือไป เป็นใบเบิกทางด้วย
หลังจากแจกของโรงเรียนบ้านแหลมสันติแก่เด็ก ๙๐ คน ครู ๘ คน แม่ครัว ๑ คนแล้ว จึงรีบเดินทางไปโรงเรียนวัดปากน้ำละแม ซึ่งมีเด็ก ๔๐ คน คุณครู ๔ คน
พอเดินทางมาถึงโรงเรียน เห็นเด็กๆ และครูแต่งชุดขาวนั่งพับเพียบเรียบร้อยรออยู่แล้ว
เพื่อรอรับแจกขนมและปัจจัย
ฉันเห็นว่าจะล่วงเลยเวลาที่เด็กๆ ต้องเข้าเรียนหนังสือ จึงรีบแจกขนมและปัจจัย พร้อมทั้งถามว่า
วันนี้ทำไมต้องแต่งชุดขาว
เด็กๆ แจ้งว่า ทุกวันศุกร์จะมีพระมาสอนศีลธรรม ครูจึงให้แต่งชุดขาว
เมื่อแจกเด็กและครูเรียบร้อยแล้ว ก็เดินทางกลับ
แบ่งบุญให้ลูกหลานทุกคนด้วยนะจ๊ะ
พุทธะอิสระ
——————————————–