สรภังคชาดก (ตอนที่ ๒)
๑๗ ธันวาคม ๒๕๖๕
ความเดิมตอนที่แล้วจบลงตรงที่ โชติปาลโพธิสัตว์ได้รับราชโองการให้เข้าไปถวายการรับใช้องค์ราชาพรหมทัต โดยพระราชาจะจ่ายเบี้ยเลี้ยงให้วันละหนึ่งพันกหาปนะ ขณะที่ท่านมีอายุแค่ ๑๖ ปี
จนเป็นที่อิจฉาของหมู่ข้าราชบริพารทั้งหลาย ด้วยการพากันซุบซิบนินทาว่า
อะไรกันพวกเราถวายงานรับใช้องค์มหาราชพรหมทัต มาก็ตั้งหลายสิบปี ทั้งยังมีพรรษาแก่กว่า ประสบการณ์ในการทำงานก็มีมากกว่า ความรู้ก็มีมากกว่า ความสามารถอื่นใดก็มากมาย จนเจ้าเด็กชายโชติปาลผู้นี้มิอาจเทียบพวกเราได้เลย
องค์มหาราชยังจ่ายเงินเบี้ยเลี้ยงให้พวกเราไม่ถึงวันละพันกหาปนะเลย แล้วเจ้าเด็กโชติปาลนี้มีดีมาจากไหนถึงได้รับค่าจ้างมากกว่าพวกเรา
สิ่งที่พวกข้าราชบริพารต่างพากันซุบซิบนินทาอยู่นั้น ล้วนรู้ถึงพระกรรณขององค์มหาราชพรหมทัตตลอด
จนอยู่มาวันหนึ่ง ขณะที่บรรดาเหล่าขุนนางข้าราชบริพารมาประชุมพร้อมกันที่ท้องพระโรงนั้น
องค์มหาราชพรหมทัตจึงทรงมีรับสั่ง เล่าเหตุการณ์ที่พวกข้าราชบริพารซุบซิบนินทากันนั้นให้แก่ปุโรหิต ผู้เป็นบิดาของโชติปาลได้ฟัง เพื่อจะได้เป็นที่รับรู้กันทั่วว่า พระองค์ก็สงสัยในความรู้ความสามารถของกุมารโชติปาลเหมือนกัน
ข้างฝ่ายพราหมณ์ปุโรหิต บิดาของโชติปาลโพธิสัตว์ จึงทูลถวายว่า ดีแล้วพระพุทธเจ้าข้า ข้าพระพุทธเจ้าจักได้ไปแจ้งให้แก่บุตรชายของหม่อมฉันได้รับรู้ว่า เวลานี้เงินค่าจ้างที่เขาได้รับวันละหนึ่งพันกหาปนะ บัดนี้ได้ก่อปัญหาให้แก่เขาแล้ว ดูว่าเขาจะแก้ปัญหานี้เช่นไร
ที่พราหมณ์ปุโรหิตกล่าวเช่นนี้ เพราะตนก็ต้องการจะรู้เหมือนกันว่า บุตรชายของตนไปเรียนวิชามาแค่ ๗ วัน แต่อาจารย์บอกว่าเรียนจบแล้ว ไม่มีอะไรจะสอนบุตรเราอีกแล้ว เราก็จะดูว่า ลูกเราได้วิชาอะไรมาบ้าง
โชติปาลโพธิสัตว์ เมื่อได้ฟังคำของบิดาเช่นนั้น จึงคิดว่า สรุปแล้วผู้คนในพระนครนี้ต่างพากันสงสัยในความรู้ความสามารถของเรา ไม่เว้นแม้แต่ท่านบิดาเช่นนั้น เราควรจักต้องแสดงความสามารถให้เป็นที่ประจักษ์แก่สายตาองค์ราชาและมหาชน
โชติปาลโพธิสัตว์จึงกล่าวแก่บิดาตนว่า หากองค์มหาราชทรงมีความสงสัยในความสามารถของลูกเช่นนั้นอีก ๗ วัน ณ ลานพลับพลาหน้าพระราชวังขอให้องค์มหาราชทรงมีรับสั่งให้ป่าวประกาศให้มหาชนทั่วทั้งพระนครมาประชุมพร้อมกัน แล้วให้นายขมังธนูที่มีฝีมือเก่งกาจจากทิศทั้ง ๔ ทั้งภายในและภายนอกพระนคร มาชุมนุมประลองฝีมือยิงธนูพร้อมกัน
พราหมณ์ปุโรหิตจึงนำความนั้นไปทูลแก่องค์มหาราช พระองค์จึงทรงมีพระราชโองการสั่งให้ราชบุรุษไปตีฆ้องร้องป่าว เรียกชุมนุมนายขมังธนูทั่วทั้งพระนคร และหัวเมืองใกล้เคียง ใช้เวลาไม่นาน ก็ระดมนายขมังธนูมาได้ถึง ๖๐,๐๐๐ กว่าคน แล้วทรงให้ราชบุรุษประกาศนัดหมายเวลาให้ประชาชนมาประชุมพร้อมกัน เพื่อมาชมการประลองฝีมือยิงธนูระหว่างกุมารโชติปาล และนายขมังธนูทั้ง ๖๐,๐๐๐ คน
มหาชนเมื่อได้ฟังว่า โชติปาลบุตรของพราหมณ์ปุโรหิต ผู้มีอายุแค่ ๑๖ ปี จะประลองมือยิงธนูกับนายขมังธนูทั้งหกหมื่นคน จึงรู้สึกตื่นเต้น ต่างวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่างๆ นาๆ ว่ามันจะเป็นไปได้อย่างไร
เด็กน้อยอายุ ๑๖ คนเดียวจะมาสู้อะไรกับนายขมังธนูถึงหกหมื่นคน แต่เพื่อจะพิสูจน์ ทุกคนจึงออกจากเรือนของตน ต่างอุ้มลูกจูงหลาน พาเมีย พาแม่มาจองที่นั่งที่ยืน เพื่อจะได้เห็นกับตาว่า โชติปาลกุมารจะยิงธนูสู้กับนักแม่นธนูทั้งหกหมื่นได้อย่างไร
ทำให้ลานหน้าพลับพลาที่ยิ่งใหญ่และกว้างขวาง ดูคับแคบลงไป จนไม่สามารถจะบรรจุผู้คนพลเมืองที่มาจากต่างหัวเมืองอีกจำนวนมากได้ ต่างฝ่ายต่างก็เบียดเสียด แย่งชิงกันเพื่อจะเขามาดูการแข่งขันยิงธนูครั้งนี้ จนเกิดโกลาหลวุ่นวาย ซึ่งทำให้องค์ราชาพรหมทัต มีรับสั่งให้ราชบุรุษเข้ามาควบคุมให้ทุกคนเข้าแถวเป็นระเบียบ เพื่อจะได้มีที่ว่างเพิ่มขึ้นที่จะรองรับคลื่นมหาชนทั้งหมด
เมื่อทุกอย่างเตรียมการพรั่งพร้อมแล้ว องค์ราชาจึงมีรับสั่งให้ราชบุรุษไปเชิญโชติปาลโพธิสัตว์มาสู่ลานประลองธนู
โชติปาลจึงหยิบธนูและลูกศรพร้อมทั้งเสื้อเกราะและหน้ากากมงคลที่สวมหน้าผาก ซ่อมเอาไว้ใต้ผ้านุ่งผ้าห่ม แล้วถือพระขรรค์มายังปะรำพิธีการประลอง พร้อมทั้งถวายบังคมแก่องค์มหาราชพรหมทัต และหันไปไหว้มารดา บิดา ที่มานั่งเฝ้าดูการครั้งนี้ด้วย
เวลานั้นพวกนายขมังธนูและมหาชนพอได้เห็นการมาของโชติปาลกุมาร ที่ถือมาแต่พระขรรค์ พวกเขามองไม่เห็นธนู จึงพากันแปลกใจ ต่างซุบซิบนินทากันว่า อะไรกันนี่ ไหนว่าจะมาแข่งยิงธนูแต่ดันถือพระขรรค์มา แล้วจะเอาธนูที่ไหนมาแข่งกันเล่า
ข้างโชติปาลเมื่อได้เห็นอากัปกิริยาของผู้คนในลานประลองจึงได้ร้องขอให้ราชบุรุษกั้นม่านล้อมรอบตนเองไว้ ไม่ให้ผู้คนได้มองเห็นตนได้ แล้วนำเอายุทโธปกรณ์ที่ซ่อนมาในผ้านุ่งผ้าห่มออกมาสวมใส่ถือและสะพาย มือขวาถือคั่นธนูเขาแพะที่มีสีสันดุจดังแก้วพระกาฬ เหน็บพระขรรค์เอาไว้ที่เอว ผูกแล่งที่บรรจุลูกธนูเอาไว้ด้านหลัง
เมื่อแต่งองค์ทรงเครื่องอันอลงกรณ์ดุจดัง นาคกุมาร ผลุดขึ้นมาจากแผ่นดินแล้วเดินไปตรงหน้าพลับพลาที่ประทับ ถวายความนอบน้อมแด่องค์มหาราชพรหมทัต
ข้างมหาชนชาวพระนครพาราณสีเมื่อได้เห็นรูปกายของโชติปาลกุมาร งดงามดุจดังเทพจุติดังนั้นจึงพากันปรบมือโห่ร้องต้อนรับกันอื้ออึง
จบแค่นี้ก่อนนะจ๊ะ โปรดติดตามตอนที่สนุกต่อไป
พุทธะอิสระ
——————————————–