เรื่องนี้ต้องขยาย (ตอนที่ ๒)
๑๖ กันยายน ๒๕๖๕
วันนี้เราท่านทั้งหลายมาติดตามดูเรื่องราวที่เกี่ยวกับพระบรมศาสดาอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าตอนที่เกี่ยวกับพระอานนท์และพระเทวทัต
ตอนที่แล้วเมื่ออชาตสัตตุราชกุมารไม่สามารถฆ่าพระราชาพิมพิสารผู้เป็นพระบิดาตามคำยุยงของพระเทวทัต ทั้งยังถูกจับได้
พระราชาพิมพิสารจึงทรงตรัสถามอชาตสัตตุราชกุมารว่า ลูกรักเจ้าต้องการฆ่าพ่อเพื่อประโยชน์อันใด
อชาตสัตตุราชกุมารจึงทูลตอบว่า หม่อมฉันต้องการราชสมบัติพระพุทธเจ้าข้า
พระราชาพิมพิสารจึงทรงตรัสว่า ลูกรักหากเจ้าต้องการราชสมบัติ เช่นนั้นพ่อจักยกราชสมบัตินั้นแก่เจ้า
เมื่ออชาตสัตตุราชกุมารได้ราชสมบัติแล้ว
เวลาต่อมาพระเทวทัตเข้าไปหาอชาตสัตตุกุมารแล้วถวายพระพรว่า ขอถวายพระพร (เที่ยวนี้เหาะไม่ได้ เพราะญาณเสื่อมเหตุเพราะจิตคิดชั่ว) ขอมหาบพิตรจงรับสั่งให้ราชบุรุษผู้จักปลงพระชนม์พระสมณโคดมแก่เรา ลำดับนั้น อชาตสัตตุกุมาร รับสั่งใช้คนทั้งหลายว่า พนาย พระผู้เป็นเจ้าเทวทัตสั่ง อย่างใด ท่านทั้งหลายจงทำอย่างนั้น
ต่อมาพระเทวทัตจึงสั่งราชบุรุษคนหนึ่งว่า เจ้าจงไปปลงพระชนม์พระสมณโคดมแล้วจงหนีมาทางนี้
เวลาต่อมาพระเทวทัตจึงสั่งให้ซุ่มราชบุรุษไว้ ๒ คนริมทางนั้น แล้วสั่งว่าหากมีราชบุรุษใดมาทางนี้ลำพังผู้เดียว เจ้าทั้งสองจงฆ่าราชบุรุษนั้นแล้วหนีมาทางนี้
พระเทวทัตยังสั่งให้ซุ่มราชบุรุษไว้ ๔ คนริมทางนั้น แล้วสั่งว่า ราชบุรุษเหล่าใดมาทางนี้ ๒ คน เจ้าทั้ง ๔ คน จงฆ่าราชบุรุษ ๒ คนนั้น แล้วหนีมาทางนี้
เวลาต่อมาพระเทวทัตจึงสั่งให้ซุ่มบุรุษไว้อีก ๘ คนริมทางนั้น ด้วยสั่งว่า ราชบุรุษเหล่าใดมา ทางนี้๔ คน เจ้าทั้ง ๘ คน จงฆ่าราชบุรุษ ๔ คนนั้นแล้วหนีมาทางนี้
อีกทั้งพระเทวทัตยังสั่งให้ซุ่มราชบุรุษไว้ ๑๖ คนริมทางนั้น ด้วยสั่งว่า ราชบุรุษเหล่าใด มาทางนี้ ๘ คน เจ้าทั้ง ๑๖ คน จงฆ่าราชบุรุษ ๘ คนนั้นแล้วมา ฯ
(พระเทวทัตสั่งฆ่าผู้ปฏิบัติงาน เป็นทอดๆเพื่อปิดปาก)
ครั้งนั้น บุรุษคนเดียวนั้นถือดาบและโล่ผูกสอดแล่งธนู แล้ว เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคด้วยอาการหวั่นหวาด สะทกสะท้าน ถึงจะมีร่างกายที่แข็งแรงก็ตามที บุรุษนั้นได้ยืนอยู่ในที่ ไม่ไกล พระผู้มีพระภาคพระผู้มีพระภาคได้ทอดพระเนตรเห็นบุรุษนั้น ผู้จึงได้ตรัสกะบุรุษนั้นว่า มาเถิด เจ้าอย่ากลัวตถาคตเลย
บุรุษนั้นจึงวางดาบและโล่ปลดแล่งธนูวางไว้ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้ว เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ซบศรีษะลงแทบพระยุคลบาทของพระผู้มีพระภาค แล้วได้กราบทูลว่า
พระพุทธเจ้าข้า โทษมาถึงซึ่งข้าพระพุทธเจ้าจากความโง่ จากความหลงตามอกุศลที่ครอบงำ เพราะข้าพระพุทธเจ้ามีจิตคิดประทุษร้าย มีจิตคิดจะฆ่า พระองค์จึงได้มาแอบซุ่มอยู่ ณ ที่นี้ขอพระผู้มีพระภาคโปรดอดโทษของข้าพระพุทธเจ้านั้น เพื่อความสำรวมต่อไปพระพุทธเจ้าข้า
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า เอาเถอะเจ้า โทษมาถึงเจ้าเหตุเพราะความโง่ เหตุเพราะหลง ด้วยกำลังแห่งอกุศลที่เจ้ามีจิตคิดประทุษร้าย เจ้ามีจิตคิดจะฆ่า เข้ามาถึงที่นี้ เมื่อใดเจ้าเห็นโทษแล้วทำคืนตามธรรม เมื่อนั้น เราอดโทษนั้นแก่เจ้า เพราะผู้ใดเห็นโทษโดยความเป็นโทษ แล้วทำคืนตามธรรมถึงความสำรวม ข้อนั้นเป็นความเจริญในอริยวินัย
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงแสดง อนุปุพพิกถา แก่บุรุษนั้น คือทรงแสดง ทาน ศีล สวรรค์ และอาทีนพ ความต่ำทราม ความเศร้าหมองของกามทั้งหลาย แล้วจึงทรงประกาศอานิสงส์ในการออกจากกาม เมื่อพระผู้มีพระภาคทรงทราบว่า บุรุษนั้นสามารถควบคุมจิตของตนได้ มีจิตอ่อน มีจิตปลอดจากนิวรณ์ มีจิตสูงขึ้น มีจิตผ่องใส จึงทรงแสดงพระธรรมเทศนาอริยสัจสี่ คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค จนบุรุษนั้นมีดวงตาเห็นธรรม ปราศจากธุลี ปราศจากมลทินว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งมวลมีความดับเป็นธรรมดาได้เกิดแก่บุรุษนั้น ณ ที่นั่นนั้นแล ดุจผ้าที่สะอาดปราศจากมลทินคู่ควรได้รับน้ำย้อมเป็นอย่างดี ฉะนั้น
ครั้งนั้น บุรุษนั้นมีธรรมอันเห็นแล้ว ได้บรรลุธรรมแล้ว ได้รู้ธรรมแจ่มแจ้งแล้ว มีธรรมอันหยั่งลงแล้ว ข้ามความสงสัยได้แล้ว ปราศจากถ้อยคำแสดงความสงสัย ถึงความเป็นผู้แกล้วกล้าไม่ต้องเชื่อผู้อื่นแม้ในคำสอนของพระศาสดา ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก ภาษิตของพระองค์ไพเราะนัก พระพุทธเจ้าข้า พระองค์ทรงประกาศธรรมโดยอเนกปริยายอย่างนี้ เปรียบเหมือนบุคคลหงายของที่คว่ำเปิดของที่ปิด บอกทางแก่คนหลงทางหรือส่องประทีปในที่มืดด้วยตั้งใจว่าคนมีจักษุจักเห็นรูป ดังนี้
ข้าพระพุทธเจ้านี้ขอถึงพระผู้มีพระภาค พระธรรม และภิกษุสงฆ์ว่า เป็นสรณะ ขอพระผู้มีพระภาคจงทรงจำ ข้าพระพุทธเจ้าว่า เป็นอุบาสกผู้มอบชีวิตถึงสรณะ จำเดิมแต่วันนี้เป็นต้นไป
ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคได้รับสั่งกะบุรุษนั้นว่า เจ้าอย่าไปทางนี้เพราะจะมีคนคอยดักทำร้ายจงไปทางนี้
ครั้งนั้น บุรุษสองคนนั้นที่ดักรอซุ่มเพื่อที่จะฆ่านักแม่นธนู รออยู่เนิ่นนานแต่ก็ไม่เห็นนักแม่นธนูเดินมา บุรุษทั้งสองคนจึงปรึกษากันว่า ทำไมหนอบุรุษคนเดียวนั้นหายไปไหนจึงมาช้านัก แล้วเดินสวนทางไปตามหาแต่กลับได้พบพระผู้มีพระภาคประทับนั่ง ณ โคนไม้แห่งหนึ่ง บุรุษสองคนนั้นจึงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
พระผู้มีพระภาคทรงแสดง อนุปุพพิกถา แก่บุรุษ ๒ คนนั้น …พวกเขาเกิดความศรัทธาในพระธรรมคำสอน เกิดปัญญาเห็นแจ้ง จึงเข้าใจว่าต่อไปนี้เราจักไม่ต้องเชื่อผู้อื่นแม้ในคำสอนของพระศาสดา ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก ภาษิตของพระองค์ ไพเราะ นัก พระพุทธเจ้าข้า … ขอพระผู้มีพระภาคจงทรงจำข้าพระพุทธเจ้าทั้งสองว่า เป็นอุบาสกผู้มอบชีวิตถึงสรณะจำเดิมแต่วันนี้เป็นต้นไป
ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคได้รับสั่งกะบุรุษทั้งสองนั้นว่า เจ้าทั้งสองอย่าไปทางนี้เพราะมีคนคอยแอบซุ่มที่จะฆ่าจงหลีกไปอีกทาง
ต่อมาก็มีบุรุษนักฆ่าอีก ๔ คน เดินตามหาบุรุษนักฆ่า ๒ คน ที่มาก่อนหน้านั้นจนกระทั้งได้พบพระพุทธเจ้า และได้ฟังธรรมจนบรรลุธรรม
ตามด้วยบุรุษนักฆ่า ๘ คน และอีก ๑๖ คน ล้วนได้ฟังธรรมจนมีดวงตาเห็นธรรมกันทั่วทุกคน
พร้อมทั้งกราบถวายบังคมพระบรมศาสดาแล้วกล่าวว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก ภาษิตของพระองค์ ไพเราะนัก พระพุทธเจ้าข้า … ขอพระผู้มีพระภาคจงทรงจำข้าพระพุทธเจ้าทั้ง ๑๖ คนว่าเป็นอุบาสกผู้มอบชีวิตถึงรัตนะทั้ง ๓ เป็นสรณะ นับแต่วันนี้เป็นต้นไป
เวลาต่อมาบุรุษผู้เป็นนักแม่นธนูคนแรกผู้บรรลุธรรมคนแรกนั้นได้เข้าไปหาพระเทวทัตแล้วได้กล่าวว่า ท่านเจ้าข้า กระผมไม่สามารถจะปลงพระชนม์พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นได้ เพราะพระองค์มีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมาก พระเทวทัตจึงกล่าวว่า เมื่อเจ้าไม่สามารถปลงพระชนม์พระสมณโคดมได้ เรานี้แหละจักเป็นผู้ปลงพระชนม์พระสมณโคดมเอง
พุทธะอิสระ
——————————————–