บทความ
สืบเนื่องเรื่องที่ “นาง” จะหาทางออกนอกประเทศ
๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๘
มีข่าวว่ารัฐสภายุโรปส่งหนังสือเชิญ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เพื่อขอให้ไปแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์ในประเทศไทย
จนมีผู้วิพากษ์วิจารณ์ตั้งข้อสังเกตว่าจริงหรือเท็จ
ด้วยเพราะรายละเอียดขอจดหมายเชิญมิได้ระบุวันที่ให้ไปพบ และให้ไปพบกับใครก็มิได้ระบุชื่อ
ส่วนสถานที่ก็กำหนดให้เลือกเอาเองระหว่างกรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยี่ยม หรือเมืองสตราสบูร์ก ประเทศฝรั่งเศส ตามที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์สะดวก
อีกทั้งบุคคลที่ลงชื่อเชิญก็มิได้ระบุตำแหน่ง
แถมยังมีประวัติไม่ธรรมดา นอกจากจะเป็นสมาชิกสภายุโรป เป็นประธานคณะกรรมการต่างประเทศแล้ว ยังเป็นนักล็อบบี้ยิสต์ให้กับบริษัทผลิตสื่อโฆษณาของ EU เคยโดนกลุ่มสิทธิสตรีเล่นงานในความผิดฐานซื้อบริการทางเพศเด็ก นามเขาผู้นั้นคือ นายเอลม่า บรูค ชาวเยอรมัน
ส่วนนายเวเนอร์ ลางเก้น เป็นคนเชื้อชาติเยอรมัน มีตำแหน่งเป็นสมาชิกสภา EU
มันเป็นเรื่องแปลกตรงที่ชาวเยอรมันทั้งสองคนนี้ลงนามในหนังสือเชิญแต่ไม่ระบุตำแหน่งของตน ทั้งที่ตนมีตำแหน่งในรัฐสภา EU
ฉันจึงสงสัยว่าผู้เชิญ เชิญไปกินข้าว ช็อปปิ้ง หรือเชิญไปปาฐกถากันแน่
หากหนังสือเชิญเป็นของจริง แล้วคอนกรีตอย่างนางจะเอาอะไรไปพูด เดี๋ยวก็เผลอพูดว่า “แต๊งกิ้ว ทรีไทม์” (Thank you 3 times)
แต่ที่แน่ๆ เท่าที่ฉันรู้มาตั้งแต่ต้องคดีทุจริตจำนำข้าวและถูกยึดทรัพย์ นางก็มีความพยายามจะออกนอกประเทศตลอดเวลาอยู่แล้ว
นางเคยนั่งรถตู้ไปเลาะขอบตะเข็บชายแดนทางภาคเหนือตอนที่พี่ชายนางมารออยู่ที่ชายแดนพม่า แต่แล้วนางก็ถูกทหารคนดีที่หนึ่งสกัดกั้นไม่ให้ออกแล้วเชิญตัวกลับบ้าน
ต่อมาเมื่อคดีจำนำข้าวเริ่มที่จะงวดเข้ามา นางดูท่าว่าจะไม่รอดนอนคุก พี่ชายก็แวะเวียนมาอยู่ที่ลาวและสิงคโปร์โดยบังเอิญ นางก็พยายามที่จะออกไปต่างประเทศอีก แต่ทหารก็สกัดกั้นเอาไว้ได้อีก
จนนางต้องออกมาโวยวายว่า นางไม่มีอิสระเพราะถูกทหารติดตามตัวอยู่ตลอดเวลา
นางเคยทำหนังสือขออนุญาตที่จะออกไปต่างประเทศด้วยข้ออ้างสารพัด
ติดอยู่ที่ คสช.ไม่อนุญาต อีกทั้งเมื่อคดีทุจริตจำนำข้าวขึ้นสู่ศาลฎีกา แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำสั่งห้ามนางมิให้ออกนอกประเทศ
ยิ่งช่วงนี้รัฐบาลจะบังคับใช้กฎหมายคำสั่งทางปกครองยึดทรัพย์นางในความผิดฐานทำให้รัฐเสียหาย ๖ แสนกว่าล้าน นางก็ยิ่งทุรนทุราย สุดท้ายเลยต้องใช้มุขถนัดคือ มุขเอาต่างชาติมาบีบไทย
โถช่างน่าอนาถในสติปัญญาของนางจริงๆ ขนาดฉันยังอ่านนางออก แล้วรัฐบาล คสช.เขาจะมองไม่ออกทีเดียวหรือ
นางคงคิดว่าหากใช้แผนต่างชาติบีบประเทศไทยคงจะทำให้นางได้รับอิสรภาพ เพราะไม่อยากติดคุกหรือถูกยึดทรัพย์ เลยต้องไปตามสไตล์พี่ชายที่สร้างหนทางเอาไว้
กว่าจะได้หนังสือฉบับนี้มางานนี้คงจะต้องลงทุนลงแรงมากพอสมควร เพราะคุณดอน ปรมัตถ์วินัย ออกมาให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวว่ามีการวิ่งเต้นล็อบบี้กันฝุ่นตลบ
ส่วนในมุมมองของคุณประยุทธ์ จันทร์โอชา ตั้งข้อสังเกตว่าผิดหลักการ เพราะถ้าเป็นหนังสือของรัฐสภาจะต้องส่งเอกสารผ่านกระทรวงการต่างประเทศ ต้องตรวจสอบเอกสารว่าเป็นอย่างไร
เท่าที่ฉันเคยมีประสบการณ์เดินทางไปต่างประเทศ เพราะหนังสือเชิญจากมหาลัยฟุกุโอกะในประเทศญี่ปุ่น ให้ไปบรรยายแก่นักศึกษาปริญญาโท
ทางมหาลัยเขาจะต้องส่งหนังสือมาที่สภาเอกอัครราชทูตไทยประจำประเทศญี่ปุ่น และสถานทูตไทยในญี่ปุ่นจึงส่งมาที่กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศส่งมาที่มหาเถรสมาคม มหาเถรสมาคมจึงส่งมาที่เจ้าคณะหน เจ้าคณะภาค เจ้าคณะจังหวัด อำเภอ ตำบล และเจ้าอาวาสตามลำดับ เพราะเป็นการเชิญจากทางมหาวิทยาลัยของรัฐเป็นทางการ
นี่ขนาดมหาวิทยาลัยรัฐยังต้องส่งมาตามขั้นตอน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงรัฐสภาอียู หากมีการเชิญบุคคลในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ ต้องมีการทำหนังสือเชิญมาถึงสถานทูตไทยในประเทศนั้นๆ ก่อน
หนังสือจึงจะมาถึงกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงจึงส่งหนังสือถึงผู้ถูกเชิญ
นี่เป็นระเบียบธรรมเนียมปฏิบัติระหว่างประเทศ หากหน่วยงานของรัฐในประเทศใดต้องการความร่วมมือจากคนของประเทศอื่นต้องทำหนังสือโดยตรงมายังผู้ปกครองประเทศนั้นๆ
มิใช่ส่งจดหมายตรงมาถึงหน้าบ้านเลย
อยากบอกนางว่า หากรัฐสภาเป็นผู้เชิญจริง ไม่ใช่ยามเฝ้ารัฐสภาเป็นผู้เชิญ ก็ต้องทำตามระเบียบปฏิบัติทางการทูต
สงสัยว่าหนังสือเชิญคุณปูคงจะเป็นยามเฝ้ารัฐสภาล่ะกระมัง ถึงได้มิได้ระบุตำแหน่ง
พุทธะอิสระ