ขันตี จะ ความอดทน

0
14
ว่าที่จริงแล้วมนุษย์และสัตว์มีธรรมชาติธาตุแห่งความอดทนมาแต่กำเนิด
ด้วยเพราะขณะมีชีวิตอยู่ และชีวิตกำลังดำเนินต่อไป ล้วนต้องเผชิญพบเจอกับความผิดพลาด ความเครียด สมหวัง และผิดหวัง ได้บ้างเสียบ้างมาโดยตลอด
ฉะนั้นการที่มนุษย์และสัตว์สามารถที่จะดำรงชีวิตอยู่มาได้มาจนถึงทุกวันนี้ ล้วนต้องมีความอดทนกันทุกตัวตนมากบ้าง น้อยบ้าง แล้วแต่ว่าใครผ่านความยากลำบากมามากเพียงใด
ยิ่งสถานการณ์ในทุกวันนี้ หากแต่ละคนไม่มีความอดทน คงได้หนีตายกันเป็นใบไม้ร่วงเป็นแน่
แต่ว่าขันติที่เป็นธรรมชาติดังกล่าว ยังเป็นขันติดิบที่ยังไม่ได้พัฒนา ยังเป็นขันติที่ใช้สำหรับทนทุกข์เพียงด้านเดียว ยังเป็นขันติที่ยังไม่มีกำลังมากพอที่จะอดทนต่อสิ่งเร้าเครื่องล่อที่น่าพึงพอใจทั้งหลาย ที่จะทำให้เราท่านต้องไปหลงไหล ลื่นถลาเคลิบเคลิ้มไปกับมัน
ตัวอย่างเช่น หากเรามีความทุกข์ยากเดือดร้อนพอทนได้ แล้วถ้าเรากำลังจะถูกสิ่งเร้า เครื่องล่อทั้งหลาย มาครอบงำให้เราต้องตกอยู่ในอำนาจ เช่นนี้เรายังพอจะมีขันติความอดทน ไม่ปล่อยตัวปล่อยใจ ให้ตกเป็นทาสต่อสิ่งเร้าเหล่านั้นได้อยู่หรือไม่
ขันติแบบนี้ ความอดทนชนิดนี้ต่างหากเล่าที่องค์พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงชี้ว่า เราท่านทั้งหลายควรจะต้องมี ดังคำภาษิตที่ว่า
เขาด่าแล้วเราไม่โกธร นั่นมันยาก
เขาชมเราแล้วไม่ยิ้ม นั้นยากยิ่งกว่า
หรืออีกสักตัวอย่างของคำภาษิตที่ท่านสอนให้เรามีความอดทนต่อสิ่งเร้า เครื่องล่อ ดังต่อไปนี้ว่า
เมื่อเจ้ามามีอะไรมาด้วยเจ้า เจ้าจะเอาแต่สุขสนุกไฉน
เมื่อเจ้ามามือเปล่าแล้วเจ้าจะเอาอะไร? เจ้าก็ไปมือเปล่าเหมือนเจ้ามา
ออกจากครรภ์มารดาแก้ผ้าร้อง- อุแว้ก้องเผชิญทุกข์และสุขา
เติบโตขึ้นมุ่งหาเงินเพลินชีวา แท้ก็หา ”ทุกข์สารพัด” มารัดตน
ยศและลาภหาบไปไม่ได้แน่ มีเพียงแต่ ”ต้นทุน-บุญกุศล”
“ทรัพย์สมบัติ” ทิ้งไว้ให้ปวงชน “ร่างของตน” เขาก็เอาไปเผาไฟ!!
ที่เคยรักก็จะลืมไม่ปลื้มจิต ที่เคยหลงเคยติดไม่พิสมัย
ที่เคยคู่เคียงข้างไม่ห่างไกล ที่เคยใกล้ก็กลับหลบไม่พบพาน
ที่เคยกอดจุมพิตสนิทแนบ ที่เคยแอบอิงกลับเมินไม่เดินผ่าน
ที่เคยยิ้มสรวลสันต์ทุกวันวาร ที่เคยหวานก็กลับขมระทมทรวง….
“มามือเปล่า-ไปมือเปล่า” อย่าเศร้าโศก กิเลส-โลกในมนุษย์ที่สุดหวง
“กอดกองขี้และซากศพ” พบภาพลวง รีบ ”ตัดบ่วงโลกีย์” หลบหนีไป!!!
“เกิด-กำมือแน่นร้องไห้” บอกใจรู้- ว่า ”ยึดอยู่-จิตหมายมั่น” จึงหวั่นไหว
“ตาย-แบมือ” ไม่ต้องถามบอกความนัย ว่า ”ตายไปเหลือมือเปล่าเหมือนเจ้ามา”!!!
“ให้ปลงตกในชีวิต” สะกิดเจ้า- “เลิกมัวเมา” กอบโกยและโหยหา
“ลาภ-ยศ-สุข-สรรเสริญ-และเงินตรา” เมื่อ ”มรณาก็สูญลับดับตามตัว”!!!
“ให้ปล่อยวางคืนโลก” สิ้นโศกเศร้า “กลับมือเปล่า” เป่าเสกมนต์ไว้บนหัว
แล้ว ”ทำจิตเป็นอิสระ-ละตนตัว พ้นดี-ชั่ว” กลับดับเย็น หลุดพ้นจน ”นิพพาน”
หากมนุษย์ท่านใดสามารถอดทนต่อการยั่วยวนของโลกธรรมดังกล่าวมาได้ มนุษย์ท่านนั้นควรจักได้ชื่อว่า เป็นผู้มีขันติธรรม คือ ธรรมเครื่องเผากิเลสอย่างยิ่งโดยแท้
ส่วนตัวอย่างของผู้ที่มีความอดทนอดกลั้นต่อความทุกข์ยาก เดือดร้อน จนได้รับยกย่องในพระพุทธศาสนานั้นก็มีหลายท่าน
หนึ่งในนั้นก็คือ พระโสมสนาคเถระ เป็นผู้คงแก่เรียน มีความเพียรเจริญสติ สมาธิ จนสามารถระลึกชาติได้ ว่าท่านเคยได้ตกนรก หมกไหม้อยู่ในอเวจีมาหลายภพชาติ
วันหนึ่ง ท่านได้รับนิมนต์ไปรับอาหารบิณฑบาตร ณ บ้านคหบดีท่านหนึ่ง ร่วมกับภิกษุหลายองค์
ระหว่างที่นั่งรออาหารที่ชาวบ้านเขาจัดเตรียมถวาย พอดีแสงแดดส่องตรงมายังท่าน พวกชาวบ้านจึงเข้าไปกล่าวแก่พระโสมสนาคเถระว่า ท่านขอรับนิมนต์ท่านขยับไปนั่งในที่ร่มๆ ก่อนเถิด แดดส่อง อากาศร้อน
พระเถระจึงตอบกลับไปว่า คุณ ฉันยอมนั่งในที่ตรงนี้ก็เพราะฉันเกรงกลัวต่อความร้อนในนรกมากกว่านั้นเอง
พร้อมทั้งท่านได้นั่งพิจารณาความเร้าร้อนที่เผาผลาญสัตว์นรกอยู่ โดยที่จิตมิได้ยึดถือ เอาความร้อนทางกายเป็นใหญ่ แต่กลับระลึกรู้ถึงความร้อนในมหานรกที่แผดเผาสัตว์
พร้อมทั้งพิจารณาว่า แสงแดดที่กำลังแผดเผาร่างของเราในเวลานี้ ก็ยังร้อนไม่เท่าไฟนรก ที่แผดเผาสัตว์ผู้ลุ่มหลงอยู่ในอวิชชา ตัณหาและอุปาทาน
ท่านพิจารณานรกธรรมอยู่เช่นนี้จนจิตหลุดพ้นจากเครื่องร้อยรัดทั้งปวง บรรลุพระอรหัตน์ในขณะที่ท่านนั่งรอรับอาหารบิณฑบาตร
นี่คือตัวอย่างของท่านผู้มีขันติ ความอดทนต่อความทุกข์ยากเดือดร้อน
ฉะนั้นพวกที่มักชอบอ้างว่า ร้อนนัก หิวนัก เหนื่อยนัก หนาวนัก ก็อยากให้คิดถึงสัตว์นรก เขาร้อน เขาหิว เขากระหาย เขาเหนื่อย เขาหนาว มากกว่าเราเป็นหมื่นเท่า แสนเท่า
ซึ่งก็ไม่รู้ว่า จะถึงคิวเราเข้าในวันใด มนุษย์เอ๋ยอย่าเห็นกงจักรเป็นดอกบัว
อานิสงส์ของผู้มีขันติ
๑. ทำให้กุศลเจริญ
๒. ทำให้เป็นที่รักของหมู่สัตว์
๓. ทำให้กิเลสเบาบาง
๔. ทำให้ประสบความเจริญในชีวิต และหน้าที่การงาน
๕. ทำให้ตนเป็นผู้มีขันติธรรมเป็นเกาะ เป็นที่พึ่งพา
๖. ทำให้ทาน ศีล ภาวนา เจริญมั่นคง
๗. ทำให้บังเกิดในพรหมโลกได้ไม่ยาก
๘. ทำให้บรรลุธรรมขั้นสูงสุดได้โดยง่าย
เอตัมมังคะละมุตตะมัง ข้อนี้เป็นมงคลอันสูงสุด
พุทธะอิสระ
๒ กรกฎาคม ๒๕๖๔
————————————————–
Endurance
July 2, 2021
In fact, human beings and animals have inborn patience, because during their lifetime, they all face mistakes, stress, fulfillment, disappointment, gain, and loss all the time.
Consequently, human beings and animals are still alive till today because every one of them must have some patience. How much patience they have depends on how much hardship they have been through.
Especially the situation nowadays, if each of them does not have patience, they may try to escape from suffering by committing suicide like falling leaves.
Nevertheless, the mentioned inborn patience is raw and undeveloped, and it is only for enduring suffering. This type of patience is not strong enough to endure satisfactory enticement which make us feel infatuated and enchanted by them.
For instance, when we have suffering, we probably can put up with it. What about when we are aroused by all kinds of enticement which try to rule us? Can we still have endurance not to let our body and mind be enslaved by them?
This kind of endurance is what the Lord Buddha said that all of us should possess. Like the proverb, “It is hard not to be angry, when you are scolded. It is harder not to smile, when you are praised.”
Another proverb that teach us to tolerate enticement.
When you came, did you have anything with you? Why do you just look for happiness and fun?
When you came empty-handed, what do you want? You will be gone empty-handed the same way when you came.
When you came out of your mother’s womb, you were naked and cried and faced both suffering and happiness.
When you grew up, you focused on making money and seeking pleasures. In fact, you were looking “all kinds of sufferings” to bind yourselves.
You cannot take rank and fortune with you. There will be only “accumulated merits” to go with you.
You will leave behind your “fortune” to other people and “your body” will be burnt!!
You were loved and will be forgotten. Some people were infatuated and attracted by you, and their feeling could change.
Someone, who was always by your side and near you, may avoid you.
Someone, with whom you hugged and kissed and stayed close to, may ignore you and avoid you.
Someone, with whom you smiled and laughed with every day in the past and had sweet memories, may make you feel bitter and hurt.
You “come and go empty-minded”, don’t be sad by defilements and worldly pleasures that human beings are obsessed with.
You hugged “heaps of feces and corpses” and found illusion, you should hurriedly cut “worldly traps” and escape!!!
“Born crying with tight fists”, your mind tells that “you are attached to things”, so you are shaken.
“Dying with opening hands”, it is unquestionably implied that “you will die empty-handed like when you came”!!!
“Be resigned to your fate”, and “stop foolishly” your endless greed and desires.
“Fortune, rank, happiness, praise, and money”, will “disappear with your death”!!!
Please “let them go and return them to the world”, overcome your grief, and remember well in your head that you will “return empty-handed”.
Then, “liberate you mind from ego, from goodness and badness, you will be able to extinguish defilements, and attain “nirvana”.
Any human being who can endure the mentioned worldly enticement, such human being shall be called a person who had endurance, the Dharma which truly destroys defilements.
In Buddhism, there are examples of persons who are praised as having great endurance.
One of them is Phra Somsanak, a learned monk, who practiced his mindfulness and meditation so hard that he could recall his past lives and remembered that he was torture in hell in various lives.
One day, he together with other monks, were invited to receive food offering at a wealthy family’s home.
While waiting for food offering, the sun shone directly on him. Villagers told him to move to a shady area, because the sun was so strong, and the weather was hot.
The monk replied, “I am willing to sit here, because I am more afraid of the burning fire in hell.
At the same time, he contemplated on the heat of fire that is burning hell creatures. His mind was not obsessed with the heat he physically felt, but he was aware of the heat in hell that was burning hell creatures.
He also contemplated that the sun that was burning his body was not as hot as fire in hell that was burning creatures who were obsessed with ignorance, desires, and attachments.
He contemplated on the conditions in hell until his mind was liberated from all defilements and became an Arahant, while he was sitting and waiting for food offering.
This is an example of person who has great endurance towards suffering.
As such, those who like to claim that they feel so hot, hungry, tired, and cold, should think of hell creatures how much ten-thousand or hundred-thousand times more they feel hot, hungry, thirsty, hungry, and cold, than us.
We never know when it is time for us to be in hell. Human, do not mistake blades to be lotus.
Merits of having endurance
1. One’s meritorious deeds increase.
2. One is beloved by all creatures.
3. One’s defilements decreases.
4. One will be successful in life and career.
5. One can depend on endurance.
6. One’s giving, precepts, as well as mindfulness and meditation practice are well developed and established.
7. One can be easily born in the world of Brahma (higher heaven)
8. One can easily attain Dharma enlightenment.
This is the most auspicious factor in one’s life.
Buddha Isara