สืบเนื่องเรื่องเกิดที่คลับเฮ้าส์

0
7
จัดรายการคลับเฮ้าส์ มีแขกแปลกหน้าเข้ามาร่วมสนทนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน อย่างมีเหตุมีผล
หนึ่งในคำสนทนาที่ถามเข้ามาก็คือ เรื่องตัดการอุปถัมภ์ที่รัฐจัดงบประมาณเข้ามาอุดหนุนแก่วัดต่างๆ ทั่วประเทศ
ด้วยข้ออ้างที่ว่า พระพุทธศาสนาได้งบประมาณปีๆ หนึ่งร่วมหมื่นล้าน ทั้งที่ศาสนาอื่นๆ เขาได้งบอุดหนุนไม่เท่ากับศาสนาพุทธ
มันเป็นการไม่ยุติธรรมสำหรับศาสนาอื่นๆ ที่เขาเสียภาษีให้แก่รัฐเช่นเดียวกัน
ก่อนที่ฉันจะตอบ ได้ถามเขากลับไปว่า ขออภัยคุณนับถือศาสนาอะไร
เขาตอบว่า ไม่ได้นับถือศาสนาใด
ฉันจึงถามเขากลับไปว่า และพ่อแม่คุณล่ะ นับถือศาสนาอะไร
เขาตอบว่า นับถือศาสนาพุทธ
ฉันจึงถามเขาต่อไปว่า ประเทศนี้มีคนนับถือศาสนาอะไรมากที่สุด
เขาตอบว่า ศาสนาพุทธมีมากที่สุด
ฉันจึงอธิบายแก่เขาว่า ก็ในเมื่อประเทศนี้มีคนนับถือศาสนาพุทธมากกว่าศาสนาอื่นๆ อีกทั้งรัฐยังเก็บภาษีจากคนที่นับถือพุทธได้มากที่สุด แล้วมันจะผิดตรงไหน ที่รัฐจะใช้เงินภาษีจากคนพุทธ ย้อนกลับมาอุดหนุนอุปถัมภ์กิจกรรมของศาสนาพุทธมากกว่าศาสนาอื่นๆ
แล้วระบบนี้เขาก็มีใช้กันในหลากหลายประเทศในโลกนี้ หาใช่มีแค่เฉพาะในประเทศไทยไม่ แม้ประเทศที่เขาเจริญแล้ว พัฒนาแล้ว หลายประเทศ เขาก็มีงบประมาณช่วยเหลืออุปถัมภ์แก่ศาสนาที่มีศาสนิกชนมากกว่ากันทั้งนั้น
ผู้ถาม ยังถามต่อว่า หากให้เอกชนเป็นผู้เข้ามาทำหน้าที่แทนรัฐ มันจะทำให้โปร่งใส สามารถตรวจสอบได้ดีกว่าที่รัฐอุดหนุนไหม
ตอบว่า คุณถามเหมือนกับจะรู้ระแคะระคายมาว่า เขากำลังมีการดำริที่จะร่างกฎหมายให้เจ้าอาวาสเป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมาย เมื่อรัฐอนุมัติงบประมาณมาให้ เงินหลวงตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้ หากมีข้อสงสัย รัฐซึ่งเป็นผู้เสียหาย ก็สามารถเข้าไปตรวจสอบดูรายรับรายจ่ายของวัดต่างๆ ได้ ตัวอย่างเช่น สำนักธรรมกาย เป็นต้น
แต่ถ้าตัดอำนาจรัฐออกไปแล้ว เหลือแต่เอกชน นั้นเท่ากับการบ่อนทำลายความเจริญของวัดที่อดอยาก ยากจน เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เพราะพวกคุณเสนอให้ตัดเงินอุดหนุนจากรัฐให้เอกชนเข้ามาอุดหนุนแทน
ถามว่า แล้ววัดที่อยู่ตามหัวไร่ ปลายนา ตามป่า ตามเขา เอกชนที่ไหนจะตะกายเข้าไปอุดหนุน
อีกทั้งหากวัดถูกตัดขาดจากอำนาจรัฐ นั้นก็เท่ากับปล่อยให้วัดใหญ่ๆ ดังๆ ที่มีศักยภาพในการหาเงินหาทองได้มาก จะกลายเป็นแหล่งฟอกเงินของพวกทุจริตต่างๆ โดยรัฐไม่มีอำนาจเข้าไปตรวจสอบเลย เพราะวัดจะอ้างว่านั่นเป็นเงินบริจาคจากเอกชน
นอกจากผู้บริจาคเขาจะไปแจ้งความร้องทุกข์ ฐานเป็นผู้เสียหายโดยตรง เช่นนี้ เจ้าหน้าที่รัฐ ถึงจะเข้ามาตรวจสอบตามกฎหมายได้
บ่อยครั้งที่วัดจนๆ แม้แต่อาหารขบฉัน ค่าน้ำค่าไฟ ยังไม่มีจะจ่าย ส่วนวัดร่ำรวยก็มีชีวิตสุขสบาย เพราะญาติโยมอุปถัมภ์ เศษเงินเล็กน้อยที่รัฐมอบให้แทบจะไร้ค่า
เพราะบางวัดทอดกฐินผ้าป่าทีหนึ่งก็ได้เงิน ๑๐๐ – ๑,๐๐๐ ล้านบาท เข้าไปแล้ว
แต่หากจะตัดอำนาจรัฐออกจากวัด ใครที่จะเป็นผู้เข้าไปตรวจสอบว่าเงินที่ได้มานั้นบริสุทธิ์ และเอาไปทำอะไร ตามวัตถุประสงค์ของผู้บริจาคจริงหรือไม่
เช่นกรณีเณรคำ ได้เงินบริจาคมาก็ไปสร้างบ้าน ซื้อของแบรนด์เนม นั่งรถวันละคัน ด้วยเพราะเณรคำมันไม่ได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐ เพราะไม่มีตำแหน่ง
เมื่อเป็นคดี ก็หอบเงินหนีไปอยู่สหรัฐ เป็นร้อยๆ ล้าน นี่คือตัวอย่างของรัฐที่เอื้อมมือไม่ถึงในการตรวจสอบ (อันนี้ฉันยกให้ท่านดู แต่ไม่ได้นำไปคุยในคลับเฮ้าส์นะจ๊ะ)
พุทธะอิสระ
๑๒ พฤษภาคม ๒๕๖๔
————————————————–
Story from Clubhouse
May 12, 2021
During the Clubhouse, some guests came in to join conversation and exchange ideas with reasons.
One of the questions was the budget cut of government patronage for nationwide temples.
They claimed that Buddhism got annual budget over 10 billion Baht, whereas other religions received less budget.
They said that it is unfair for other religions that also pay taxes to the government.
Before answering his question, I asked him back what religion he is in.
He said that he is irreligious.
I asked him back about his parents’ religion.
He said his parents are Buddhists.
So, I continued to ask him which religion has the most believers in this country.
He said Buddhism has highest number of followers.
So, I explained him that this country has more Buddhists, than other religions. In addition, the government collects highest taxes from Buddhists. So, what is wrong for the government to spend taxes collected from Buddhists to support Buddhist activities, more than other religions.
And this system has been applied in various countries, not only in Thailand. In several developed countries, they all have budget to patronize religions which has more followers.
That person continued to question if the system were handled by private sector, would it make the system more transparent and verifiable?
So, I answered him that, you have asked as if you knew that there will be a draft law for abbot to be ecclesiastical official. When the government budget is approved, if there is something questionable, the state, as sufferer can investigate income and expenditure of temples such as the case of the Dhammakaya Temple.
Once government power is eliminated and there is only private left. This equals undermining development of poor temples because you have proposed the cut of government budget to support the temples and have the private sector to support instead.
What about temples which are in the suburban areas, in the forests and mountains, will there be any private sector to support them?
In addition, once temples have been separated from government, it means letting big and famous temples with high capability to earn income, become money laundering places for the corrupted. There won’t be any investigation from the government because temples will claim that those money are from donation of private companies.
Except for the case that donors file the case with the police as victim. As such, police can investigate the temple.
Poor temples often don’t even have food and money to pay for water and electricity bills. Rich temples have affluent life because they are patronized by rich people. Just a little money from the government is almost meaningless for them.
Some temples receive donation of 100-1,000 million Baht from their Thot Krathin annual merit-making ceremony in which new yellow robes are presented to Buddhist monks by laymen.
If eliminating government from temples, who will investigate whether those funds come from righteous sources, what purposes they are used for, and whether it meet objectives of donors.
For instance, the case of Nen Kham that used money from donation to buy houses and brand name goods and had multiple cars. Nen Kham did not receive money from public budget because he did not hold any ecclesiastical position.
When it became legal case, he fled to the United States with hundreds million Baht. This is an example case which the government could not investigate. (I raised this for your awareness, but I did not bring it up during Clubhouse talk.)
Buddha Isara