พวกเรามาช่วยกันเรียกร้องให้แก้ไข พรบ.คณะสงฆ์ ให้ถูกต้องตามหลักพระธรรมวินัยกันเสียทีเถิด

0
278

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มหาสมุทรนี้มีปกติที่จักไม่รวมกับสิ่งปฏิกูลและซากศพที่ตายแล้ว หากซากศพใดมีอยู่ในมหาสมุทร มหาสมุทรย่อมซัดซากนำเอาสิ่งปฏิกูลและซากศพขึ้นมาทิ้งบนฝั่งฉันใด

ภิกษุใดในธรรมวินัยนี้เมื่อเป็นผู้ทุศีล มีธรรมอันลามก มีความประพฤติไม่สะอาด น่ารังเกียจ ปิดบังการกระทำ มิใช่สมณะปฏิญาณว่าเป็นสมณะ มิใช่ผู้ประพฤติพรหมจรรย์ปฏิญาณว่าเป็นผู้ประพฤติพรหมจรรย์ เป็นผู้เน่าในโชกชุ่มไปด้วยกิเลส เป็นผู้เศร้าหมอง

หมู่สงฆ์ผู้เป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์ บริบูรณ์พึงตั้งข้อรังเกียจ แล้วประชุมกันขับบุคคลผู้เน่าในนั้นออกเสียจากหมู่

ถึงแม้บุคคลนั้นจักยังเป็นผู้เก้อยากไม่ละอาย พยายามนั่งอยู่ท่ามกลางบริสุทธิ์สงฆ์ก็หาได้ชื่อว่า เป็นผู้อยู่ใกล้หมู่สงฆ์ไม่

หมู่สงฆ์ผู้มีศีลอันบริสุทธิ์ บริบูรณ์พึงตั้งข้อรังเกียจบุคคลผู้ทุศีลมีธรรมอันลามก มีความประพฤติไม่สะอาด ดุจดังมหาสมุทรรังเกียจสิ่งปฏิกูลซากศพ และซัดซากปฏิกูลเหล่านั้นให้พ้นจากมหาสมุทรฉันนั้น

ทีนี้มาดู พรบ.คณะสงฆ์ ที่ประกาศใช้ตั้งแต่ปี ๒๕๐๕ ที่ว่าด้วยกฎนิคหกรรม ว่าตรงต่อพุทธประสงค์หรือเปล่า

มาตราที่ ๑๘ และมาตราที่ ๒๕ ข้อที่ ๓๕ กล่าวคือ ก่อนพิจารณาหรือในระหว่างพิจารณา ถ้าปรากฏว่า

(๑) เรื่องที่นำมาฟ้องนั้น ได้มีการฟ้องร้องกันในศาลฝ่ายอาณาจักรให้รอการพิจาณาเรื่องนั้นไว้ก่อน

(๒) จำเลยเป็นบ้าคลั่ง เป็นผู้เพ้อไม่รู้สึกตัว กระสับกระส่ายเพราะเวทนากล้า ถึงไม่มีสติสัมปชัญญะ หรือมีจิตฟั่นเฟือนไม่สมประกอบ ให้รอการพิจาณาไว้ก่อนจนกว่าจำเลยจะหายเป็นปกติ

(๓) จำเลยถึงมรณภาพ ให้เรื่องเป็นอันถึงที่สุด

(๔) จำเลยพ้นจากความเป็นพระภิกษุ ให้ยุติการพิจารณา เว้นแต่ในกรณีความผิดครุกาบัติ

(๕) โจทก์ขอถอนฟ้องทั้งหมดหรือเฉพาะเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ให้ยุติการพิจาณาตามคำขอถอนของโจทก์ เว้นแต่ในกรณีความผิดครุกาบัติ หรือในกรณีที่จำเลยคัดค้านการขอถอนคำฟ้องนั้น

(๖) โจทก์ไม่มาดำเนินการที่คณะผู้พิจารณาชั้นต้นนัดหมายไว้ ให้ยุติการพิจารณา เว้นแต้โจทก์จะได้ชี้แจงเหตุผลขัดข้องเป็นหนังสือภายใน ๑๕ วัน นับแต่วันที่สั่งยุติการพิจารณา

(๗) โจทก์ซึ่งเป็นผู้มีส่วนได้เสียตามความในข้อ ๔ (๔) ถึงมรณภาพก็ดีหรือโจทก์ซึ่งเป็นผู้เสียหายถึงมรณภาพหรือตาย โดยไม่มีผู้จัดการแทนตามความในข้อ ๔ (๕) ก็ดี ให้นำความในข้อ ๒๐ (๒) มาใช้บังคับโดยอนุโลม

ในกรณียุติการพิจารณาตาม (๕) และ (๖) ไม่ตัดสิทธิของโจทก์อื่นที่จะฟ้องในเรื่องนั้น และไม่ตัดสิทธิของคณะผู้พิจารณาชั้นต้นที่จะดำเนินการพิจารณาเรื่องนั้น ต่อไป ตามที่เห็นสมควร

สรุปแล้วคณะสงฆ์ไทยจะเคารพยอมรับศาลทางโลกเป็นศาสดาแทน องค์พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างนั้นหรือ

พรบ.ที่ว่าด้วยกฎนิคหกรรมฉบับนี้ ออกมาตั้งแต่ปี พศ.๒๕๐๕ เคยได้พิพากษาเอาตัวผู้ละเมิดพระธรรมวินัยมาลงโทษได้กี่ราย ทั้งที่มีอลัชชี เต็มบ้านเต็มเมือง แม้แต่ในกรรมการมหาเถรเอง ก็มีพฤติกรรมที่น่าหวาดระแวง

หากพวกเราพุทธบริษัทยังพากันนิ่งเฉย คิดว่าชั่วช่างชี ดีช่างสงฆ์ เรื่องของพระก็ปล่อยให้พระจัดการกันเอาเอง

ขื่นเป็นเช่นนี้ต่อให้รัฐบาลทุ่มงบประมาณ ไปอุดหนุนศาสนจักรปีละเป็นหมื่นๆ ล้าน ก็ไม่พอให้พวกอลัชชีขี้โกง มันกอบโกยไปเลี้ยงลูกเลี้ยงเมีย เลี้ยงญาติมันดอก

ถามว่าทำไมเหล่าอลัชชีพวกนี้ถึงได้กล้ากำเริบ เสริมสางถึงเพียงนี้

ก็เพราะมีกฎนิคหกรรมคุมหัวพวกมันอยู่ยังไงล่ะ

ถ้าไม่มีกฎนิคหกรรมใช้แต่หลักพระธรรมวินัยปกครองคณะสงฆ์ ปานนี้คนชั่วพวกนี้คงแตกกระสานซ่านเซ็นไป หาอยู่หากินตามกำลังของตนหมดแล้ว

หากถ้ารัฐบาลจะช่วยอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนาจริงอย่างที่กล่าวอ้าง รัฐบาล คสช. ต้องปฏิบัติตามสนับสนุนให้นำหลักพระธรรมวินัย อย่างเคร่งครัด หากฝ่าฝืนอาบัติอย่างเบา อย่างกลาง ก็ให้ตรากฎหมายออกมาฟังกันให้ปฎิบัติตามบทบัญญัติของพระธรรมวินัย เช่น ให้ประจานตัวเองต่อหน้าหมู่สงฆ์ หรือให้เข้ากรรมฐานอยู่ปริวาสกรรมจนกว่าหมู่สงฆ์จักเห็นว่า ภิกษุนั้นเปลี่ยนแปลงนิสัย แก้ไขพฤติกรรมได้ จึงจักสวดให้ฉันทานุมัติยกภิกษุนั้นเข้าหมู่คณะ

แต่ถ้าละเมิดอาบัติปาราชิกแล้วยอมรับผิด ประกาศประจานความผิดนั้นต่อหมูสงฆ์ ให้ได้รับรู้โดยทั่วกัน จักได้ป้องกันไม่ให้กลับเข้ามาบวชได้อีก แล้วสึกออกไปแต่โดยดี เช่นนี้ถือว่าพ้นภาระของพระธรรมวินัย

แต่ถ้ายังหน้าด้าน ดื้อรั้น ดันทุรัง บวชหลอกลวงชาวบ้านอยู่

เมื่อมีผู้โจท หมู่สงฆ์ในอาวาสนั้นๆ ต้องประชุมกันไต่สวน จนให้ได้ความจริงเป็นที่ประจักษ์ หากภิกษุผู้ถูกโจทมีความผิดจริง หมู่สงฆ์ในอาวาสนั้นต้อง แต่งตั้งไวยาวัจกรไปยื่นเรื่องแจ้งความร้องทุกข์ แก่ผู้กระทำผิดในข้อหาแต่งกายเลียนแบบพระสงฆ์และหลอกลวงประชาชน

ซึ่งรัฐต้องเพิ่มอัตตาโทษในกฎหมายมาตรา ๒๐๘ ที่ว่าด้วยการแต่งกายเลียนแบบพระสงฆ์ จากที่ระบุโทษเอาไว้ปรับ ๕,๐๐๐ ก็เพิ่มเป็น ๕๐,๐๐๐ จำคุก ๑ ปี ก็เป็น ๕ ปี หรือทั้งจำทั้งปรับ เช่นนี้แหละคือการปกป้องคุ้มครองพระพุทธศาสนาอย่างแท้จริง

ไม่ใช้มึงผิดอะไร ก็ผลักภาระไปให้ศาลทางโลก แล้วอ้างว่าเมื่อจบศาลทางโลกแล้ว ค่อยมาขึ้นศาลสงฆ์

แล้วเคยมีคดีไหนบ้างที่มีโอกาสได้ขึ้นศาลสงฆ์

แม้แต่คดีไอ้เณรคำ ขนาดศาลทางโลกตัดสินจนติดคุกแล้ว ศาลสงฆ์ยังไม่ได้ทำอะไรเลย ไม่แม้แต่ประกาศว่าเณรคำต้องอาบัติปาราชิก ซึ่งตอนที่เณรคำถูกจับ เจ้าหน้าที่เขานิมนต์พระมาให้ทำพิธีสึก เณรคำมันหน้าด้านไม่กล่าวคำลาสิกขาบท มันอ้างว่า มันไม่ผิด ทั้งที่หลักฐานทนโท่มีรูปนอนกับเด็กผู้หญิง

แม้แต่พุทโธภาวนา ที่ทำตัวเป็นพยาเทวัน เสพเมถุนกับเด็กวัดที่ตนอุปถัมภ์อยู่จนถึงแม่ชีเป็นสิบคน

ศาลทางโลกพิพากษาจำคุก ๔๐ ปี มันก็ยังไม่ได้กล่าวคำลาสิกขาบท

คนพวกนี้เดียวมันพ้นโทษออกมา มันก็แต่งตัวเป็นพระไปหลอกชาวบ้านได้อีก แล้วศาลสงฆ์เคยใช้กฎนิคหกรรมจัดการกับอลัชชีพวกนี้ได้ไหม

พอเสียทีเถิด เลิกเสียทีเถิด ไอ้พฤติกรรมเอื้ออลัชชีให้มาย่ำยีพระธรรมวินัยเช่นนี้ สงสารพระพุทธเจ้าบ้างเถิด (ขออภัยไม่รู้จะใช้คำใดจึงจะเหมาะสมต่อพฤติกรรมของพวกเอื้ออลัชชี)

ด้วยเหตุผลเหล่านี้แหละพุทธะอิสระจึงต้องสู้ ต้องเสี่ยงกับพวกอลัชชีทั้งหลายอยู่จนทุกวันนี้ไงแหละ

อยากวิงวอนพุทธบริษัทผู้รักเทิดทูนพระธรรมวินัยทุกท่าน โปรดกรุณาช่วยกันเรียกร้องให้แก้ พรบ.คณะสงฆ์ให้สอดคล้องต่อหลักพระธรรมวินัย ที่องค์พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ทรงบัญญัติไว้เสียทีเถิด

หากรักเทิดทูนพระบรมศาสดาจริง และไม่อยากให้อาณาจักรเข้ามาชี้นำศาสนจักร ก็ต้องดำเนินการแก้ พรบ.คณะสงฆ์ให้สอดคล้องต่อพระธรรมวินัย จะได้ไม่มีใครมากล่าวอ้างว่า อาณาจักรมาชี้นำศาสนจักร ฆราวาสมายุ่งกับพระ ทหารมาใช้อำนาจข่มเหงพระ หรือไม่ก็พระไปยุ่งกับการเมือง ไปเป็นหัวคะแนนให้การเมือง

เหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะกฎหมายคณะสงฆ์ เปิดช่องให้อาณาจักรเข้ามาเองต่างหากเล่า แม้แต่จะดำเนินการกับอลัชชีที่ทำผิดพระธรรมวินัย ยังต้องรอให้ศาลทางโลกตัดสินก่อนเลย

พุทธะอิสระ