ขณะเดินทางกลับจาก แจกผ้าห่มกันหนาวเด็ก ๆ ชาวเขา
ทนายโทรมารายงาน ว่าวันนี้ขึ้นศาลอาญานครปฐม ท่านนัดแถลงรับคำร้อง
กรณีพระครูวิบูลนพการ เจ้าคณะตำบลฝายกวาง 1 แห่งจังหวัดพะเยา
โพสต์กล่าวหา ใส่ร้ายว่าพุทธะอิสระ ได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐบาล คสช. ในการทำอาหารเลี้ยงที่เต็นท์หมายเลข ๙
อีกทั้งยังจ่ายเงิน จ้างคนมายืนเข้าแถวกินอาหารที่เต็นท์อีก
เมื่อเห็นว่า พฤติกรรมของผู้ที่ใช้นามว่า พระครูวิบูลนพการมีเจตนากล่าวหาใส่ร้ายด้วยข้อความอันเป็นเท็จ จนทำให้เกิดความเสียหาย ตามความผิด พรบ.คอมพิวเตอร์
จึงให้ทนายรวบรวมหลักฐาน ฟ้องต่อศาลอาญานครปฐม
เมื่อศาลท่านได้พิจารณา ต่อหลักฐาน นัดสืบพยาน แล้วเห็นว่าคดีมีมูล จึงประทับรับฟ้อง
ในที่สุด พระครูวิบูลนพการ ต้องถึงกับต้องประกันตัวในชั้นศาล
ฉันถามทนายว่า แล้วพระครูวิบูลนพการ ทำอย่างไร
ทนายบรรยายว่า ศาลอนุญาตให้ประกันตัว แต่พระครูวิบูลนพการ ถูกเจ้าหน้าที่ศาลกักตัวเอาไว้ กำลังหาหลักทรัพย์มาประกัน
ฉันถามทนายต่อว่า แล้วพระครูวิบูลนพการ เดินทางมาศาลกี่ครั้งแล้ว
ทนายตอบว่า หากจะนับรวมตอนที่เดินทางมาพบหลวงปู่ด้วยครั้งนี้ถือนับเป็นมาเป็นครั้งที่ ๒ แล้ว
ฉันพอฟังแล้ว ทำให้นึกย้อนมาเปรียบเทียบกับความทรมานของตัวเอง
ที่เกิดจากการนั่งรถ แล้วปวดหลังลงกระดูกสันหลังที่ทรุด
เมื่อคิดเช่นนี้แล้วจึง รู้สึกสงสารพระครูวิบูลนพการ เลยบอกแก่ทนายว่า
ไปแจ้งต่อศาลว่า พุทธะอิสระขอถอนฟ้องไม่เอาความก็แล้วกัน
แต่มีข้อแม้ว่าให้ พระครูวิบูลนพการ ทำหนังสือขอขมาแล้วลงประกาศในสื่ออินเตอร์เน็ต
แล้วต้องทำข้อตกลงว่า จะไม่ทำการใดๆ ที่เป็นการละเมิดต่อพุทธะอิสระอีกต่อไป
เรียกว่า กรรมใดเกิดแต่เหตุ หากจักดับกรรมนั้น ต้องดับที่เหตุ
หวังว่า วิบากกรรม ที่เกิดแก่พระครูวิบูลนพการ คงจักเป็นอุทาหรณ์ สอนใจพวกที่ชอบโกหกใส่ร้าย กล่าวหาผู้อื่นให้เกิดความเสียหาย ระวังจักถูกย้อนศร เช่นกรณีพระครูวิบูลนพการ นะจ๊ะ
เฮ้อ พอได้ให้อภัยทานแล้วรู้สึกเบาสบายทั้งกายใจจริงๆ
พุทธะอิสระ