ทำไม พ.ต.ท.พงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ ถึงได้ทำงานร่วมกับมหาเถรไม่ได้

0
1737

เพราะตั้งแต่มีสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติขึ้นมา
ไม่เคยมี ผอ.สำนักพุทธคนใด ในฐานะเลขาธิการกรรมการของกรรมการมหาเถร จะชงเรื่องปัญหาการปกครองคณะสงฆ์

ปัญหาความประพฤติเหลวแหลกของผู้ปกครองคณะสงฆ์

ปัญหามีผู้ร้องเรียนเรื่องอลัชชีละเมิดพระธรรมวินัย

ปัญหาการปกครองที่ไม่ชอบด้วยธรรมของเจ้าคณะปกครองบางจังหวัด บางวัด และบางภาค

ปัญหาการแต่งตั้งโยกย้ายตำแหน่ง

ปัญหาการทุจริตคอรัปชั่นในวงการสงฆ์

และอีกหลายร้อยประเด็นปัญหา ที่มีผู้ร้องเรียนเข้ามายังสำนักงานพระพุทธศาสนา

ปัญหาเหล่านี้ล้วนเกิดขึ้นมาเนิ่นนาน แต่ผู้ทำหน้าที่ ผอ.สำนักพุทธที่ผ่านมา กลับไม่นำเรื่องเข้าสู่ที่ประชุมมหาเถรในฐานะเลขาธิการ จะด้วยเหตุผลอะไรก็สุดจะคาดเดา

แต่พอมาถึงยุคสมัย ผอ.สำนักพุทธ พ.ต.ท.พงศ์พร กลับนำเรื่องร้องเรียนและปัญหาเหล่านั้นเข้าสู่ที่ประชุมมหาเถร จึงเป็นที่ไม่พอใจของพวกกรรมการมหาเถร

โดยจะถูกกล่าวหาว่าข้ามขั้นตอน ไม่บังควร เรื่องเล็กน้อยควรปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเจ้าคณะปกครองตามลำดับชั้น

ฉะนั้นมหาเถรจึงเป็นกลุ่มชนชั้นปกครองที่พยายามทำตนเป็นพวกอยู่เหนือปัญหามาโดยตลอด

ไม่ว่าจะเป็นปัญหาของเฮียเกษม ที่ย่ำยีพระพุทธรูป ละเมิดพระธรรมวินัย

ปัญหาสมีเณรคำ ที่แหกตาชาวบ้านว่าเป็นอรหันต์ แม้แต่พระระดับกรรมการมหาเถรยังไปร่วมงานรับเงิน รับรถของมันมา

หรือแม้แต่ปัญหาคำสอนย่ำยีพระธรรมวินัยของเผ่าพันธุ์ธรรมกาย

ปัญหาความอหังการ แสดงอำนาจบาตรใหญ่ของเผ่าพันธุ์ธรรมกาย

ปัญหาการเข้าไปมีส่วนร่วมทุจริตเงินสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่นของเจ้าลัทธิธรรมกาย

สังคมจะไม่เคยเห็นไม่เคยได้ยินว่ากรรมการมหาเถรได้ประชุมและมีมติอะไรออกมาแก้ปัญหา

ผิดจากการเปิดประชุมอย่างเร่งด่วนในสมัยที่ไม่ใช่กำหนดประชุม แถมยังประชุมกันในวันหยุดราชการอีกตะหาก

ถ้าถามว่าแล้วเรื่องที่พวกเขาประชุมกันล่ะเรื่องอะไร

ตอบโดยไม่ต้องคิดว่า ก็เรื่องการแต่งตั้งพระสังฆราชรถเถื่อนยังไงล่ะ

ถามว่าแล้วเวลาประชุมมหาเถรประชุมกันในเรื่องอะไรเป็นส่วนใหญ่

ตอบว่า ส่วนใหญ่จากคำแถลงการณ์ของโฆษกมหาเถรในแต่ละครั้ง ก็มีแต่เรื่องเลื่อนขั้น เลื่อนยศ เลื่อนตำแหน่ง ซึ่งก็ใช้เวลาประชุมกันเพียงไม่ถึงชั่วโมงเสียส่วนใหญ่

เพราะทุกเรื่องกรรมการมหาเถรจะทำหน้าที่เพียงแค่รับทราบจากที่มีผู้นำเสนอและลงมติรับรอง หาได้มีการถกเถียง ทบทวน สอบถาม ในรายละเอียดใดๆ ไม่

เหล่านี้คือข้อปฏิบัติของพวกกรรมการมหาเถรที่มีมาเนิ่นนานจนกลายเป็นวัฒนธรรมองค์กรไปแล้ว

แต่พอคุณพงศ์พรเข้ามา ทำให้มหาเถรต้องปวดหัว เรื่องเยอะ ปัญหามาก ทำงานลำบาก ตัดสินใจยุ่งยาก

เพราะตัดสินใจทำอะไรลงไป ผู้ที่มีความเห็นต่างก็ต้องชำเลืองดูสีหน้าแววตาของผู้ที่เป็นต้นเรื่อง ที่สั่งให้เลขามหาเถรชงเรื่องเข้าที่ประชุม

เมื่อมหาเถรทำงานอยู่บนพื้นฐานเรื่องของใครเรื่องของมัน หนของใครหนของมัน ภาคของใครภาคของมัน จังหวัดของใครจังหวัดของมัน มีเรื่องมีปัญหาก็ไปจัดการกันเอาเอง อย่านำเรื่องมาให้มหาเถรรกสมอง

เช่นนี้แหละคุณพงศ์พรจึงทำงานไม่ได้

นี่ก็ได้ยินข่าวมาว่า สมเด็จสนิทแห่งวัดไตรมิตร ผู้มั่งคั่ง โด่งดัง ยิ่งใหญ่ มีบารมีคับฟ้า เพราะมีลูกศิษย์ลูกหาเป็นถึงรัฐมนตรีในรัฐบาลชุดนี้อยู่หลายคน ทั้งยังมีนายพลทั้ง ๔ เหล่าทัพเป็นลูกศิษย์ลูกหาอีกเพียบ

สมเด็จสนิทได้เสนอไอเดียกระฉูดเพื่อแก้เกี้ยวเรียกเรตติ้งภาพลักษณ์ของมหาเถร ด้วยการเสนอเรื่องให้มหาเถรมีมติรับรองเรื่องจัดตั้งคณะอนุกรรมการ รวบรวมข้อมูลข่าวสารทั้งของบรรพชิตและคฤหัสถ์ถึง ๑๓ คน

แต่ที่น่าสงสัย ฉงนฉงายของสังคมอย่างยิ่งก็คือ หนึ่งในคณะอนุกรรมการมีชื่อของนายสมศักดิ์ โตรักษา ผู้โด่งดังจากการทำหน้าที่ว่าความคดีรถหรูของสมเด็จช่วง และเป็นตัวแทนของธรรมกายเข้าเจรจากับเจ้าหน้าที่ดีเอสไอ ต่อมาก็มาเป็นทนายแก้ต่างให้วัดพนัญเชิงในคดีเงินทอน

ส่วนนายจำนงค์ สวมประคำ ก็เป็นทนายให้กับวัดพนัญเชิงคดีเงินทอนเช่นกัน

งานนี้มหาเถรทำเซอร์ไพร์สจนนิติกรประจำสำนักพุทธตกงานกันเป็นทิวแถว เพราะมหาเถรไม่ใช้งาน

เห็นชื่อคณะอนุกรรมการวบรวมข้อมูลข่าวสารของพระและฆราวาสแล้วช่างเท่ห์เสียไม่มีล่ะ

แถมท้ายด้วยชื่อนายพิสิฐชัย สว่างวัฒนากร คู่เจรจาของดีเอสไอกรณีธรรมกายมาเป็นอนุกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ

คนนี้ที่มีข่าววงในมาว่าได้รับแรงเชียร์ให้เป็น ผอ.สำนักพุทธจากกลุ่มกรรมการมหาเถรสายธรรมกายอย่างล้นหลาม ทั้งยังเป็นบุคคลที่พวกสาวกลัทธิธรรมกายชื่นชอบยิ่งนัก

งานนี้ฝ่ายรัฐบาลมีรัฐมนตรีประจำสำนักนายกและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมเข้าไปนั่งเป็นอนุกรรมการกับเขาด้วยนะจ๊ะ

ก็เอาที่ท่านสบายใจก็แล้วกัน แต่ก็อย่าลืมคำว่า

ความไว้วางใจของมหาชนต่อรัฐบาลถือว่าเป็นเรื่องสำคัญ

อย่าเหลิง

และระวังรัฐบาลจะโดนวางยาจากผู้ใกล้ชิด

เพราะพฤติกรรมที่ปรากฏมันทำให้สังคมมองเห็นว่า ท่านนายกกำลังจะถูกเจาะยางจากคนรอบข้าง

พุทธะอิสระ