มาช่วยกันจับโกหกกรรมการมหาเถรกันหน่อย

0
603

เรื่องมีอยู่ว่า วันที่ ๒๗ พ.ย. ๕๒ พระราชมงคลรังษี เจ้าอาวาสวัดโสธรวราราม ทำหนังสือเสนอให้ถอดถอนผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดโสธรออกจากตำแหน่งถึง ๗ รูป

และ ๑ ใน ๗ รูป นั้นก็คือ พระปริยัติกิจวิธาน (อมรภิรักษ์) ยศในขณะนั้น

ด้วยข้อหาละเมิดจริยาพระสังฆาธิการอย่างร้ายแรง

โดยเจ้าคณะจังหวัดคือ พระเทพปัญญาเมธี (ยศในขณะนั้น) ได้มีคำสั่งตั้งกรรมการสอบสวนจริยา ซึ่งประกอบไปด้วยพระสังฆาธิการระดับเจ้าคุณ ๗ รูป มาเป็นตุลาการณ์สงฆ์ผู้ทำหน้าที่สอบ หัวหน้าองค์คณะตุลาการสอบก็คือ พระธรรมสิทธิเวที แห่งวัดสังเวชวิศยาราม

ผลการสอบออกมาได้ข้อสรุปความผิดสอดคล้องกับกฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ ๒๔ (พ.ศ.๒๕๔๑) ความว่า

ข้อ ๕๕ การถอดถอนจากตำแหน่งหน้าที่ของพระสังฆาธิการนั้น จะทำได้ต่อเมื่อพระสังฆาธิการละเมิดจริยาอย่างร้ายแรง แม้ข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

(๓) ขัดคำสั่งอันชอบด้วยการคณะสงฆ์ และการขัดคำสั่งนั้นเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงแก่การคณะสงฆ์
(๔) ประมาทเลินเล่อในหน้าที่ เป็นเหตุให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงแก่การคณะสงฆ์
(๕) ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง

ในที่ประชุมองค์คณะตุลาการณ์สงฆ์ทั้ง ๗ รูปที่เป็นเจ้าคุณมาจาก ๗ วัดในกรุงเทพ ซึ่งมีพระธรรมสิทธิเวทีแห่งวัดสังเวชวิศยารามเป็นประธาน ได้ลงมติเป็นเอกฉันท์ด้วยการอ้างถึงกฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ ๒๔ (พ.ศ.๒๕๔๑) เรื่องว่าด้วยการแต่งตั้งถอดถอนพระสังฆาธิการ ข้อ ๕๕(๓) (๔) (๕) ผู้ถูกกล่าวหาทั้ง ๗ มีความผิดจริงดังปรากฏใน (๓), (๔), (๕)

จึงเสนอให้ถอดถอนผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดโสธรวรารามทั้ง ๗ รูป ออกจากตำแหน่ง

และ ๑ ใน ๗ นั้นก็คือ พระปริยัติกิจวิธาน ปัจจุบันคือพระราชปริยัติสุนทร หรือเจ้าคุณอมรภิรักษ์ เจ้าคณะอำเภอเมืองฉะเชิงเทรา และผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดโสธร

วันที่ ๙ เม.ย. ๕๓ เจ้าคณะภาคโดยเจ้าคุณเสนาะแห่งวัดสระเกศ ได้นำเรียนเข้ารายงานในที่ประชุมมหาเถรสมาคม ซึ่งมีสมเด็จเกี่ยวแห่งวัดสระเกศเป็นประธาน

ที่ประชุมมหาเถรครั้งที่ ๘/๒๕๕๗ ได้มีมติที่ ๑๗๘/๒๕๕๓ ให้พักงานผู้ช่วยเจ้าอาวาสพระอารามหลวงทั้ง ๗ ตั้งแต่วันที่ ๒๗ ก.พ. ๕๓ เป็นต้นมา

ข้อที่ควรสังเกตคือ

๑. ผลการสอบของตุลาการสงฆ์ทั้ง ๗ รูป มีมติเป็นเอกฉันท์ว่าจำเลยทั้ง ๗ มีความผิดร้ายแรงจะต้องถอนออกจากตำแหน่งสถานเดียว แต่พอเรื่องถึงมือกรรมการมหาเถร จากถอดถอนออกจากตำแหน่งกลายเป็นแค่พักงานเฉยเลย

๒. แม้เจ้าคุณอมรหรือพระปริยัติกิจวิธาน จะต้องโทษผิดจรรยาบรรณพระสังฆาธิการอย่างร้ายแรง ถึงขนาดต้องถูกพักงานตั้งแต่ในปี ๕๓ พอวันที่ ๑๒ ส.ค. ๕๙ มหาเถรกลับเสนอชื่อเจ้าคุณอมรให้ได้เลื่อนสมณศักดิ์จากชั้นสามัญขึ้นสู่ชั้นราช สูงขึ้นกว่าเก่าอีกเฉยเลย อย่างนี้ไม่เรียกว่าทำชั่วได้แล้วจะให้เรียกว่าอะไร

– ทีนี้มาดูลีลาการแถกแถของพวกกรรมการมหาเถรบางรูป เช่น พระพรหมเมธี กรรมการมหาเถรสมาคม แห่งวัดสัมพันธวงศ์ ในตำแหน่งโฆษกมหาเถรที่เคยออกมาบอกว่าธัมมชโยไม่ผิด ไม่ปาราชิก มาแล้วตั้งแต่ปี ๕๗

วันนี้แกก็ออกมาบอกว่าอธิกรณ์ที่เกิดขึ้นมาเนิ่นนานแล้ว สมเด็จหนตะวันออกแห่งวัดไตรมิตร จึงเสนอมหาเถรคืนตำแหน่งให้แก่พระทั้ง ๗ ในการประชุมมหาเถรเมื่อวันที่ ๓๐ ต.ค. ๕๗

ข้อสังเกต

อุ๊ต๊ะ แม่เจ้า ขนาดผลสอบออกมาว่าประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง ๕ ปีต่อมาก็ได้คืนตำแหน่งแถมด้วยเลื่อนสมณศักดิ์ให้อีกด้วยวุ้ย
เดี๋ยวพุทธะอิสระเอามั่ง

อ้าวแล้วเรามีตำแหน่งอะไรล่ะหว่า

มาดูความพลิ้วไหวของคนระดับโฆษกมหาเถรกันต่อ

ท่านได้ชี้แจงว่าผู้ช่วยเจ้าอาวาสทั้ง ๗ รูป ได้ดำเนินการต่อต้านการแต่งตั้งเจ้าอาวาสวัดโสธร ซึ่งถือว่าละเมิดจริยาพระสังฆาธิการ แต่มีความผิดไม่ร้ายแรง จึงลงโทษเพียงแค่ตำหนิโทษเป็นลายลักษณ์อักษร

ข้อสังเกต

อ้าวแล้วมติมหาเถรที่ ๑๗๘/๒๕๕๓ ที่รับทราบผลการสอบอธิกรณ์ของคณะตุลาการสงฆ์ จึงนำมาซึ่งการสั่งพักหน้าที่นั้นก็โกหกล่ะสิหลงพี่

ตกลงจะให้ชาวบ้านเขาเชื่อใคร

ผลการสอบบอกว่าควรจะถอดถอนจากตำแหน่ง

แต่ผู้มีอำนาจสั่งการกลับสั่งลงโทษให้แค่พักงาน

มาวันนี้กลับมาบอกว่ามีความผิดเล็กน้อยแค่ตำหนิโทษ

แม่เจ้า นี่มันผัวชาวบ้านหรือพระพูดกันล่ะจ๊ะ

ยัง ยังไม่สะใจ เอาให้ถึงใจพระเดชพระคุณไปเลย

นอกจากไม่ถูกถอนแล้ว สมเด็จหนตะวันออกแห่งวัดไตรมิตรยังเห็นความดีความชอบของผู้ต้องหาทั้ง ๗ ถึงขนาดให้รับค่านิตยภัตย้อนหลังได้อีก ๕ ปีเชียวนะพี่น้อง

เอาให้สะใจพระเดชพระคุณกันไปเลย เงินไม่ใช่ของโยมพ่อโยมแม่อาตมา

ท่านโฆษกมหาเถรผู้ฝักใฝ่ธรรมกายยังได้ชี้แจงต่อว่า

การแต่งตั้งเจ้าคณะจังหวัดฉะเชิงเทรา ผู้ที่เสนอชื่อเข้ามาคือพระเทพรัตนมุนี (สุรชัย สุรชโย) เจ้าคณะภาค ๑๒ แห่งวัดสระเกศ

เสนอผ่านสมเด็จหนตะวันออก ท่านเห็นว่าผู้ได้รับการตั้งเป็นผู้มีคุณสมบัติ จึงเสนอมหาเถร

ส่วนในด้านสมเด็จพระพุฒาจารย์ กรรมการมหาเถร เจ้าคณะหนตะวันออก แห่งวัดไตรมิตร ได้กล่าวชี้แจงว่า เรื่องการแต่งตั้งพระราชปริยัติสุนทร (อมรภิรักษ์) เป็นเจ้าคณะจังหวัดฉะเชิงเทรานั้น ถือว่าทำตามระเบียบมหาเถร เป็นไปตามข้อบังคับและคุณสมบัติครบถ้วนทุกประการ

การแต่งตั้งเจ้าคณะจังหวัดฉะเชิงเทราครั้งนี้จึงถูกต้องสมบูรณ์
ข้อกล่าวหาว่าแต่งตั้งเจ้าคณะจังหวัดไม่ถูกต้องตามกฎมหาเถรจึงไม่เป็นความจริง

อ้าวทีนี้มาดูกันหน่อยซิว่า สมเด็จหนตะวันออกท่านพลิ้วไหวต่อไปอย่างไรอีก

ท่านบอกต่อว่าผู้ได้รับการแต่งตั้งมีคุณสมบัติครบถ้วน ถูกต้องตามกฎมหาเถร

– เราท่านทั้งหลายลองมาพิสูจน์ความจริงด้วยการเปิดกฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ ๒๔ พ.ศ. ๒๕๔๑ ว่าด้วยเรื่องการแต่งตั้งถอดถอนพระสังฆาธิการ ในส่วนที่ ๓ เจ้าคณะจังหวัด ดูกันหน่อยดีไหม

ข้อ ๑๔ พระภิกษุผู้จะดำรงตำแหน่งเจ้าคณะจังหวัด ต้องมีคุณสมบัติโดยเฉพาะอีกส่วนหนึ่ง ดังนี้

(๑) มีพรรษาพ้น ๑๐ กับมีสำนักอยู่ในเขตจังหวัดนั้น และ
(๒) กำลังดำรงตำแหน่งรองเจ้าคณะจังหวัดนั้นมาแล้วไม่ต่ำกว่า ๒ ปี หรือ

ข้อ ๑๕ ในการแต่งตั้งเจ้าคณะจังหวัดในภาคใด ให้เจ้าคณะภาคนั้นพิจารณาคัดเลือกพระภิกษุผู้มีคุณสมบัติตามข้อ ๖ และข้อ ๑๔ เสนอเจ้าคณะใหญ่พิจารณา เพื่อมีพระบัญชาแต่งตั้งตามมติมหาเถรสมาคม

หมวด ๒ ว่าด้วยการแต่งตั้งพระสังฆาธิการ

ข้อ ๖ พระภิกษุผู้จะดำรงตำแหน่งตามข้อ ๔ ต้องมีคุณสมบัติทั่วไป ดังต่อไปนี้

(๖) ไม่เคยต้องคำวินิจฉัยลงโทษในอธิกรณ์ที่พึงรังเกียจมาก่อน
(๗) ไม่เคยถูกถอดถอนหรือถูกปลดจากตำแหน่งใด เพราะความผิดมาก่อน

– สังเกตมาเยอะแล้ว ขอถามบ้างว่า ที่สมเด็จหนตะวันออกพูดว่า ได้ทำตามระเบียบมหาเถร ตามข้อบังคับทุกประการ แล้วกฎมหาเถรสมาคม หมวด ๒ ว่าด้วยการแต่งตั้งพระสังฆาธิการ
ข้อ ๖ พระภิกษุผู้จะดำรงตำแหน่งตามข้อ ๔ ต้องมีคุณสมบัติทั่วไป ดังต่อไปนี้

(๖) ไม่เคยต้องคำวินิจฉัยลงโทษในอธิกรณ์ที่พึงรังเกียจมาก่อน
(๗) ไม่เคยถูกถอดถอนหรือถูกปลดจากตำแหน่งใด เพราะความผิดมาก่อน

เช่นนี้ก็แสดงว่ากฎมหาเถรหมวดนี้ก็เขียนผิดล่ะซิ หรือเจ้าคณะภาค ๑๒ พระเทพรัตนมุนี (สุรชัย สุรชโย) และสมเด็จหนตะวันออกจะอธิบายว่าอย่างไร

ส่วนที่บอกว่า พระราชปริยัติสุนทร (อมรภิรักษ์) เป็นผู้มีคุณสมบัติเหมาะสมครบถ้วนทุกประการนั้น แสดงว่าคุณสมบัติที่เหมาะสมของพวกกรรมการมหาเถรต้องประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง ต้องมีพฤติกรรมประมาทเลินเล่อ จนทำให้คณะสงฆ์เสียหาย และขัดคำสั่งผู้บังคับบัญชา ประมาณนี้

อันนี้พุทธะอิสระมิได้กล่าวหาเองนะ แต่ช่วยสรุปการละเมิดจริยาพระสังฆาธิการของผู้ที่สมเด็จหนตะวันออกและเจ้าคณะภาค ๑๒ บอกว่าเป็นผู้มีคุณสมบัติเหมาะสมครบถ้วนทุกประการ

พุทธะอิสระยิ่งสงสัยใหญ่ว่า แสดงว่าพระราชภาวนาพิธาน รองเจ้าคณะจังหวัด ไม่ได้มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ตามสเปคของกรรมการมหาเถร จึงไม่ได้รับการแต่งตั้ง

หรือเพราะไม่ประจบเลียขาผู้ใหญ่
หรือเพราะไม่ให้อามิสที่ถูกใจแก่ผู้มีอำนาจ
หรือเพราะคนละพวกกันกับผู้มีอำนาจ ต่อให้ทำงานให้ตายก็ไม่ได้ดี

อะไรประมาณนี้หรือเปล่า

ที่จริงพุทธะอิสระก็ไม่ได้รู้จักมักจี่อะไรกับทั้งสองท่านดอกนะ ที่ต้องโวยวายให้สังคมเขารับรู้ก็เพียงเพื่อให้สังคมเขาตาสว่างกันเสีย จะได้รู้ว่าพฤติกรรมของเจ้าคณะปกครองสงฆ์แต่ละระดับชั้นไปจนถึงกรรมการมหาเถรนี้มันเป็นอย่างไร

ก็เพราะองค์กรปกครองสงฆ์มีพฤติกรรมอนุรักษ์เชื้อโจร เอาไว้ปล้นพระธรรมวินัยอยู่แบบนี้ไง มหาโจรในผ้าเหลืองมันถึงได้เต็มเมือง
ขนาดเป็นปาราชิกในจังหวัดภาคกลาง ชาวบ้านเขาจับได้ หนีไปอยู่อีสาน ยังได้เป็นเจ้าอาวาสได้เลย

กรณีมหาเถรแต่งตั้งผู้ต้องโทษจนถูกคำพิพากษาให้ปลดออกจากตำแหน่งมาเป็นเจ้าคณะจังหวัดฉะเชิงเทรา นี้ไม่ใช่รายแรก ยังมีอีกหลายสิบรายที่เขาช่วยกันรักษาถนอมเชื้อชั่วเอาไว้

จนเวลานี้ชาวบ้านไม่รู้ว่าจะกราบใครถูกแล้ว เพราะไม่รู้ว่าคนที่ตนกราบเป็นพระหรือเป็นผัวชาวบ้าน หรือเป็นมหาโจร

ไอ้พฤติกรรมทำชั่วได้ดีเนี่ย มีให้เห็นอยูทั่วไปในสังฆมณฑล ขอเพียงคนชั่วผู้นั้นมีพวกที่มีอำนาจ มีเงินจ่าย เอาใจเก่ง เดี๋ยวก็ได้ดี อย่างที่สังคมรับรู้กันอยู่ทุกวันนี้

งานนี้คงต้องพึ่งท่านนายกประยุทธ์อีกแล้ว ปฏิรูปกฎหมายปกครองคณะสงฆ์ ที่ให้โอกาสเชื้อชั่วขยายเผ่าพันธุ์ให้หมดไปเสียทีเถิด สังคมจะได้สงบสุข สังฆมณฑลจะได้กลับมางดงามเสียที ขอร้องล่ะท่านนายก

พุทธะอิสระ