ช่วงเช้าก่อนที่จะเดินทางไปอัดเทปรายการของโทรทัศน์สปริงนิวส์ ได้แวะไปให้กำลังใจแก่บรรดาจิตอาสาที่เต็นท์หมายเลข ๙ กะว่าฉันเพลแล้วจะได้ออกเดินทางไปที่ห้องส่งของสปริงนิวส์ได้ทัน ด้วยเพราะเกรงว่ารถจะติดจากเหตุฝนตกหนักมาตั้งแต่เช้ามืด ขณะที่นั่งรถผ่านแถวพุทธมณฑล มีน้ำท่วมขังบนถนนเป็นระยะๆ กว่าจะมาถึงเต็นท์เกือบเพลพอดี
พอถึงเต็นท์บรรดาเหล่าจิตอาสาทั้งหลายต่างหน้าบานแสดงความดีใจกันเป็นแถว ทุกคนต่างกุลีกุจอช่วยกันทำอาหาร ต้มยำทำแกง ทำแซนวิช เพื่อนำไปแจกให้แก่พี่น้องประชาชนคนของพ่อที่เดินทางมากราบพระบรมศพ
ร่วม ๗ เดือนแล้ว ที่จิตอาสาในเต็นท์หมายเลข ๙ และเต็นท์อื่นๆ ต่างช่วยกันทำอาหารโดยไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อย
ส่วนวัตถุดิบที่แต่ละเต็นท์นำมาประกอบอาหารก็ได้รับการสนับสนุนจากกองอำนวยการร่วม ซึ่งมี กทม.และกองทัพภาคที่ ๑ คอยจัดหาให้ตามความต้องการของแต่ละเต็นท์ ยกเว้นเต็นท์หมายเลข ๙ เต็นท์เดียวที่เขาไม่ให้ เพราะถึงเขาให้เราคงไม่รับ เพราะอยากทำดีอุทิศถวายพระองค์ท่านผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐยิ่ง
แม้พวกเราจักทุ่มเททำอาหารเลี้ยงจนครบปี ก็ถือว่าเล็กน้อยมาก ยังเทียบไม่ได้กับสิ่งที่พระองค์ท่านทรงทำให้แก่พวกเรา เช่นนี้ ข้าวทุกเม็ด อาหารทุกก้อน น้ำทุกหยด ที่พวกลูกหลานจิตอาสาช่วยกันนำมาบริจาคจัดหามาถวายให้ประกอบอาหาร ถือได้ว่าพวกเรากำลังพยายามตอบแทนบุญคุณแผ่นดิน ตอบแทนพระคุณพระเจ้าอยู่หัวในรัชกาลที่ ๙
ถึงจะเหนื่อย ถึงจะหนักทุกข์ยากลำบากขนาดไหน พวกเราลูกไทยหลานไทยก็พร้อมที่จะทำดีอุทิศถวายแด่พระองค์ท่าน
พุทธะอิสระต้องขออนุโมทนา ขอขอบใจในน้ำใจ ที่ท่านผู้มีคุณทั้งหลายได้กรุณานำวัตถุดิบประกอบอาหารมาถวาย ขอยืนยันว่าเราจะประกอบอาหารเลี้ยงพี่น้องประชาชนต่อไปจนกว่าจะสิ้นสุดงานพระบรมศพ
ทีนี้มาถึงหัวเรื่องที่เขียนเอาไว้แต่ต้นว่า “เรื่องดีๆ ทำไมไม่รู้จักทำกันบ้าง”
หลังจากอัดรายการโทรทัศน์สปริงนิวส์เสร็จเวลา ๓ โมงครึ่งแล้ว กลัวรถติดจึงสั่งให้ดาบแสบขับรถออกไปทางรังสิต กลับมาถึงวัดก็ปาเข้าไปร่วม ๖ โมงเย็น ว่าจะไปเยี่ยมแม่ที่โรงพยาบาล พอดีอาการไข้กำเริบ กลัวจะนำไข้ไปติดแม่ จึงงดไม่ไปเยี่ยม อยู่ทำภารกิจสวดมนต์เย็นที่กุฏิ เจริญภาวนา แล้วเข้านอน คิดว่าพรุ่งนี้เช้าจะต้องออกเดินทางไปคุมรถแบคโฮขุดสระน้ำต่อ
รุ่งเช้าขณะเดินทางได้สั่งให้ผู้หมวดกุ๊ดชี่ซี๊แหง๋ ให้ช่วยต่อสายโทรศัพท์สอบถามเหตุการณ์ของเต็นท์หมายเลข ๙ ว่าทำอาหารอะไรเข้าไปส่งในวัง ทำอาหารอะไรเลี้ยงพี่น้องที่เขามารออยู่นอกวัง
เจ้าตั๊มรายงานว่า เมื่อวานหลังจากหลวงปู่ออกจากเต็นท์ไปสปริงนิวส์แล้ว มีคนมาด้อมๆ มองๆ แอบถ่ายรูปเต็นท์ ถ่ายรูปกุฏิที่หลวงปู่พัก มีผู้หญิง ๓ คน ผู้ชายตะพายกระเป๋าเป้ด้านหลัง ๑ คน นั่งรถกระบะและรถมอเตอร์ไซค์มา พวกผมพยายามถ่ายรูปเอาไว้ได้ ๓ คน พร้อมทะเบียนรถกระบะ มหาหยกเขาเห็นจึงเดินเข้าไปสอบถาม พวกนั้นมันรีบขึ้นรถมอเตอร์ไซค์ขับหนีไปเลย
ฉันจึงถามว่า แล้วถ่ายรูปเอาไว้เป็นหลักฐานหรือเปล่า เจ้าตั๊มตอบว่า ถ่าย พร้อมกับตั้งข้อสังเกตว่า มันแปลกนะหลวงปู่ ช่วงที่หลวงปู่ไม่อยู่ไม่มีใครมาด้อมๆ มองๆ มาแอบถ่ายรูป แต่พอหลวงปู่มา เหมือนกับพวกนี้มันจะรู้ มันมาทันที
ฉันจึงพูดเล่นๆ กับเจ้าตั้มว่า มึงลืมไปแล้วหรือว่ากูเป็นตัวดึงดูดระเบิด ไม่ใช่ตัวดูดเงิน
เจ้าตั้มได้ยินมันหัวเราะแล้วจึงบอกว่า ยังงั้นนิมนต์หลวงปู่อยู่วัดเถิด ไม่ต้องมาดูดระเบิดที่นี่ก็ได้ เดี๋ยวพวกผมจะพลอยซวยไปด้วย
ฉันจึงสั่งว่า เก็บรวบรวมหลักฐานภาพถ่ายทั้งหมดส่งให้ตำรวจไปสืบหาเบาะแส แล้วพวกมึงก็อย่าประมาท คอยสังเกตสังกา ดูว่าใครมันจะนำอะไรมาวางมาซุกเอาไว้ในบริเวณเต็นท์ ก็ให้รีบแจ้งเจ้าหน้าที่เขามาดู แต่ไม่ใช่กลัวจนขี้ขึ้นสมอง ไม่มาทำอาหาร ถ้าเช่นนั้นก็เท่ากับเราแพ้มัน
เจ้าตั้มบอกต่อว่า มันก็เสี่ยงเหมือนกันนะหลวงปู่ ไม่รู้ว่าไอ้พวกนี้มันจะมาทำอะไรเราอีก ยิ่งเมื่อวานนี้มีข่าวว่าเจ้าหน้าที่เก็บกู้ระเบิดไปป์บอมได้อีกแล้ว ๒ ลูก ไม่รู้ว่ามันมาวางเราไม่ได้ มันจึงนำเอาไปทิ้งที่ใต้ทางรถไฟฟ้าหรือเปล่า
ฉันบอกเจ้าตั้มว่าอย่ามโนไปเรื่อย เอาเป็นว่าระวังตัวก็แล้วกัน
พวกขบวนการใต้ดินมันมีเป็นร้อยที่จะคอยทำร้ายฝ่ายตรงข้าม และทำลายความสุขประเทศ พวกเราก็อย่าให้มันทำสำเร็จ ต้องช่วยกันเป็นหูเป็นตา
ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าคนพวกนี้ เรื่องดีๆ มีมากมายทำไมไม่รู้จักทำ ชอบจะทำแต่เรื่องชั่วๆ
พุทธะอิสระ