เห็นความตั้งใจของรัฐบาล คสช. ดีเอสไอ และท่าน ผอ.สำนักพุทธ ที่พยายามนำตัวหัวหน้าอลัชชีกบฏผีบุญมาลงโทษตามหลักพระธรรมวินัยและกฎหมาย
แต่ไม่ว่าเจ้าหน้าที่ฝ่ายอาณาจักรจะพยายามสักปานใด
พวกเจ้าคณะปกครองฝ่ายศาสนจักรก็หาได้รู้ร้อนรู้หนาวด้วยไม่
แม้กระทั่งการแต่งตั้งรักษาการแทนเจ้าอาวาส ซึ่งต่อไปจะต้องรับหน้าที่เป็นศาลชั้นต้น ในการพิจารณาคดีหรืออธิกรณ์ของเจ้าลัทธิอลัชชี ยังตั้งลูกน้องของเจ้าลัทธิเข้ามารักษาการเจ้าอาวาส
ทำให้สังคมเกิดข้อกังขาถึงความชอบธรรมว่าเกิดขึ้นได้ไหม
อย่างนี้คงต้องรอให้น้ำท่วมหลังเป็ดนั่นแหละ ถึงจะได้สอบ
และถ้าหากสอบ ผลคงจะออกมาประมาณว่า คดีไม่มีมูล ยกฟ้อง
แต่กว่าจะสอบเสร็จ ก็คงใช้เวลาปาเข้าไปเป็นปี ๆ ตามวลีช้า ๆ เพื่อรักษาอลัชชีคนงาม
อีกทั้งผู้รักษาการเจ้าอาวาสที่เป็นลูกน้องของผู้ต้องหาคดีรับของโจรและฟอกเงิน คงจะต้องหาวิธีช่วยลูกพี่อย่างสุดฤทธิ์
ทีนี้แหละ อุปสรรคของเจ้าหน้าที่ดีเอสไอในการตรวจสอบเส้นทางการเงินของลัทธินี้คงจะต้องเกิดขึ้นแน่
ทั้งที่ท่าน ผอ.สำนักพุทธฯ สามารถที่จะเลือกหยิบเอา พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ แก้ไขเพิ่มเติม ๒๕๓๕ หมวด ๑ ว่าด้วยเรื่องสมเด็จพระสังฆราช
มาตรา ๘ สมเด็จพระสังฆราชทรงดำรงตำแหน่งสกลมหาสังฆปรินายก ทรงบัญชาการคณะสงฆ์ และทรงตราพระบัญชาสมเด็จพระสังฆราช โดยไม่ขัดหรือแย้งกับกฎหมาย พระธรรมวินัย และกฎมหาเถรสมาคม
เมื่อพระบัญชาสมเด็จพระสังฆราชคือเป็นกฎหมายตามมาตรา ๘ ท่าน ผอ.สำนักพุทธฯ ก็ควรนำคดีพระลิชิต หรือคดีที่พุทธะอิสระไปยื่นเรื่องโจทก์เจ้าลัทธิธรรมกายว่าเป็นผู้ต้องอาบัติปาราชิกในหลายกรณี นำเข้ากราบบังคมทูลให้ทรงมีพระบัญชาเรียกหาตัวเจ้าลัทธิธรรมกาย มาเข้าสู่กระบวนการสอบสวนของศาลสงฆ์ เท่านี้ก็จบและถ้าหากเจ้าลัทธิไม่ยอมมาเข้าสู่กระบวนการสอบสวนก็ถือว่าเป็นผู้ขัดพระบัญชาสมเด็จพระสังฆราช มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๒๐๘ ผู้ใดแต่งกายหรือใช้เครื่องหมายที่แสดงว่าเป็นภิกษุ สามเณร นักพรตหรือนักบวชในศาสนาใดโดยมิชอบ เพื่อให้บุคคลอื่นเชื่อว่าตนเป็นบุคคลเช่นว่านั้น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
เท่านี้เจ้าหน้าที่บ้านเมืองก็สามารถจับเจ้าลัทธิอลัชชีถอดจีวรนอนคุกได้เลย
หรือไม่ เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงและ ดีเอสไอ ผู้ถืออาญาสิทธิ์มาตรา ๔๔ ซึ่งเป็นอำนาจของรัฏฐาธิปัตย์สามารถสั่งการได้ทั้งอาณาจักรและศาสนจักร
ควรรวบรวมหลักฐานความผิดของนายไชยบูลย์ หรือ ธมฺมชโย ที่มีผลกระทบต่อความมั่นคงแห่งรัฐและความมั่งคงของศาสนจักร โดยเฉพาะพฤติกรรมไม่ยอมรับกฎหมาย ตามด้วยกรณีที่ถูกถอดยศ นำเข้าสู่กระบวนการพิจารณาของมหาเถรสมาคม ดังปรากฏในมาตรา ๑๕ จัตวา ความว่า
เพื่อรักษาหลักพระธรรมวินัยและเพื่อความเรียบร้อยดีงามของคณะสงฆ์มหาเถรสมาคมจะตรากฎมหาเถรสมาคม เพื่อกำหนดโทษหรือวิธีลงโทษทางการปกครองสำหรับพระภิกษุและสามาเณรที่ประพฤติให้เกิดความเสียหายแก่พระศาสนาและการปกครองของคณะสงฆ์ก็ได้
พระภิกษุและสามเณรที่ได้รับโทษตามวรรคหนึ่ง ถึงขั้นให้สละสมณเพศต้องสึกภายในสามวันนับแต่วันทราบคำสั่งลงโทษ
วิธีปฏิบัติเหล่านี้ ท่าน ผอ.สำนักพุทธฯ ในฐานะเลขามหาเถรสมาคมควรประสานข้อมูลกับดีเอสไอ และฝ่ายความมั่นคง เพื่อรวบรวมคดีความต่าง ๆ ทั้งฝ่ายศาสนจักรและอาณาจักรที่เกิดกับเจ้าลัทธิและพวก โดยเฉพาะคดีกรณีถูกถอดยศ นำเข้าสู่ที่ประชุมมหาเถร เพื่อเป็นข้อมูลในการพิจารณา กำหนดบทลงโทษอันสมควรแก่โทษานุโทษ โดยมิต้องเข้าสู่กระบวนการนิคหกรรมใด ๆ เลย
เพราะมหาเถรฯ ซึ่งมีองค์พระสังฆราชทรงเป็นประธานในที่ประชุม ล้วนต่างก็มีหน้าที่ระงับปัญหาหรืออธิกรณ์ตามพระบรมราชโองการแต่งตั้งอยู่แล้ว เท่านี้ก็จบ
ไม่ต้องคิดมาก ไม่สลับซับซ้อน ขึ้นอยู่กับว่าจะมีความจริงใจที่จะแก้ปัญหา มองเห็นโทษเห็นภัยของลัทธิอลัชชีผีบุญนี้แค่ไหน
พุทธะอิสระ