อย่าเพิ่งดีใจว่ามหาเถรจะสั่งให้ดำเนินการจับธัมชโยสึกได้เลย

0
737

เพราะโดยคำร้องขอของสำนักพระพุทธศาสนานั้น ขอให้มหาเถรพิจารณาโทษต่อธัมมชโย หรือนายไชยบูลย์ ตามกฎมหาเถรสมาคมฉบับที่ ๒๑ พ.ศ. ๒๕๓๘ ที่ว่าด้วยการให้ภิกษุสละสมณเพศ โดยเสนอใช้ข้อ ๓ ความว่า ในกรณีพระภิกษุรูปใด

(๑) ประพฤติล่วงละเมิดพระธรรมวินัยเรื่องเดียวกัน หรือหลายเรื่องเป็นอาจิณ ให้เจ้าอาวาสวัดซึ่งพระภิกษุรูปนั้นสังกัด หรือพํานักอาศัยมีอํานาจหน้าที่แนะนํา ชี้แจง ตักเตือน ให้พระภิกษุรูปนั้นประพฤติตามพระธรรมวินัยเป็นลายลักษณ์อักษร โดยกําหนดเวลาให้ปฏิบัติ หากพระภิกษุรูปนั้นไม่ปฏิบัติตาม คําแนะนํา ชี้แจง ตักเตือน ภายในเวลาที่กําหนด ให้เจ้าอาวาสซึ่งพระภิกษุรูปนั้น สังกัดหรือพํานักอาศัย รานงานโดยลําดับ จนถึงเจ้าคณะอําเภอเจ้าสังกัด เพื่อวินิจฉัยให้สละสมณเพศต่อไป

(๒) ไม่สังกัดอยู่ในวัดใดวัดหนึ่ง หรือไม่มีวัดเป็นที่อยู่เป็นหลักแหล่ง ให้พระภิกษุผู้ดํารงตําแหน่งปกครองวัดหรือพระภิกษุผู้ดํารงตําแหน่งปกครองคณะสงฆ์ ในเขตท้องที่ที่พบพระภิกษุรูปนั้น มีอํานาจหน้าที่วินิจฉัยให้พระภิกษุรูปนั้นสละสมณเพศเสียได้
แต่มหาเถรสมาคมกลับโยนลูกไปให้เจ้าคณะใหญ่หนกลาง คือสมเด็จสมศักดิ์ แห่งวัดพิชยญาติ ไปดำเนินการความผิดทางพระธรรมวินัย

นี่ก็เท่ากับว่ามหาเถรปฏิเสธที่จะไปยุ่งเกี่ยวด้วย ปล่อยให้เจ้าคณะปกครองไปดำเนินการกันเองเอง ฉะนั้นใครที่คิดว่ามหาเถรสั่งให้เจ้าคณะปกครองจับเจ้าลัทธิกบฏผีบุญสึกในเร็ววันนั้น คงจะเร็วเกินไป เพราะในกฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ ๒๑ ยังมีดังนี้
————————–——————

ข้อ ๔ ในกรณีที่มีการฟ้องร้องว่าพระภิกษุรูปใดกระทําความผิดอันเป็น “ครุกาบัติ” เมื่อคณะผู้พิจารณาชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องตามกฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ ๑๑ (พ.ศ. ๒๕๒๑) ว่าด้วยการลงนิคหกรรมแล้ว มีคําสั่งประทับฟ้องเพื่อดำเนินการพิจารณาวินิจฉัยต่อไปก็ดี คณะผู้พิจารณาชั้นต้นวินิจฉัยแล้วไม่ว่าจะลงนิคหกรรม หรือไม่ก็ตาม และเรื่องยังอยู่ภายในกําหนดเวลาอุทธรณ์ก็ดี หรือมีการอุทธรณ์ ภายในกําหนดเวลาแล้วไม่ว่าคณะผู้พิจารณาชั้นอุทธรณ์แล้วแต่กรณี รายงาน ข้อเท็จจริง ข้อกฎหมาย และพระธรรมวินัยที่เกี่ยวข้องต่อมหาเถรสมาคม

ในกรณีที่การพิจารณาวินิจฉัยการลงนิคหกรรมอยู่ในชั้นฎีกา กรรมการมหา เถรสมาคมรูปใดรูปหนึ่งอาจรายงานต่อมหาเถรสมาคมเพื่อให้ดําเนินการตามข้อนี้ นอกเหนือจากการพิจารณาวินิจฉัยการลงนิคหกรรมก็ได้

ในกรณีที่มหาเถรสมาคมพิจารณาจากรายงานดังกล่าวและพยานหลักฐานอื่นประกอบกันแล้ว เห็นว่าพระภิกษุผู้เป็นจําเลยประพฤติล่วงละเมิดพระธรรมวินัย เรื่องเดียวกัน หรือหลายเรื่องอันเป็นโลกวัชชะเป็นอาจิณ ทั้งความประพฤตินั้นเมื่อพิจารณาจากพฤติการณ์ที่ล่วงมาแล้ว หากให้ดํารงเพศบรรพชิตต่อไป จะก่อให้เกิดความเสียหายแก่พระศาสนา และการปกครองคณะสงฆ์ มหาเถรสมาคมมีอํานาจวินิจฉัยให้พระภิกษุรูปนั้นสละสมณเพศได้ ทั้งนี้ไม่กระทบต่อการพิจารณาวินิจฉัย การลงนิคหกรรมที่กําลังดําเนินการอยู่ไม่ว่าในชั้นใดๆ

ข้อ ๕ คําวินิจฉัยให้พระภิกษุสละสมณเพศตามข้อ ๓ หรือข้อ ๔ ให้เป็น อันถึงที่สุด

ข้อ ๖ เมื่อคําวินิจฉัยให้พระภิกษุรูปใดสละสมณเพศตามข้อ ๓ หรือ ๔ แล้ว ให้เจ้าอาวาสซึ่งพระภิกษุรูปนั้นสังกัด หรือพํานักอาศัย หรือพระภิกษุผู้ดํารง ตําแหน่งปกครองวัด หรือพระภิกษุผู้ดํารงตําแหน่งปกครองคณะสงฆ์ในเขตท้องที่ที่พบพระภิกษุรูปนั้นแล้วแต่กรณี แจ้งผลคําวินิจฉัยให้พระภิกษุรูปนั้นทราบ และ จัดการให้พระภิกษุรูปนั้นสละสมณเพศ

ในกรณีที่ไม่อาจพบพระภิกษุรูปนั้น หรือพระภิกษุรูปนั:นไม่ยอมรับทราบคําวินิจฉัยเมื่อปิดประกาศคําวินิจฉัยไว้ ณ ที่พํานักอาศัยของพระภิกษุรูปนั้น ถือว่า พระภิกษุรูปนั:นทราบคําวินิจฉัยดังกล่าวแล้ว
ข้อ ๗ พระภิกษุผู้ต้องคําวินิจฉัยให้สละสมณเพศต้องสึกภายในสามวัน นับแต่วันทราบหรือถือว่าทราบคําวินิจฉัยนั้น

ในกรณีที่พระภิกษุรูปนั้นไม่สึกภายในกําหนดเวลาดังกล่าว ให้พระภิกษุผู้มีหน้าที่จัดการให้พระภิกษุรูปนั้นสละสมณะเพศอารักขาต่อเจ้าหน้าที่ฝ่ายราชอาณาจักร เพื่อปฏิบัติการให้เป็นไปตามคําวินิจฉัย

ข้อ ๘ ให้คณะผู้พิจารณาชั้นต้น หรือชั้นอุทธรณ์แล้วแต่กรณี ซึ่งอยู่ระหว่างพิจารณา วินิจฉัยการลงนิคหกรรมตามกฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ ๑๑ (พ.ศ. ๒๕๒๑) ว่าด้วยการลงนิคหกรรมและการพิจารณานั้นยังไม่ถึงที่สุด ปฏิบัติตามกฎมหาเถรสมาคมนี้ และกฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ ๑๑ (พ.ศ. ๒๕๒๑) ต่อไป
————————–——————

หากเจ้าคณะใหญ่หนกลางคิดจะช่วยเหลือลัทธิกบฏผีบุญ ประวิงเวลาให้ทอดยาวออกไป เจ้าคณะใหญ่หนกลางอาจจะใช้กฎข้อ ๔ ตั้งองค์คณะพิจารณาคดีชั้นต้นขึ้นมาอีกก็ได้ ซึ่งก็จักเข้าสู่กระบวนการนิคหกรรมทันที

และตามหลักกฎนิคหกรรม คณะผู้พิจารณาชั้นต้นก็คือ เจ้าคณะอำเภอ เจ้าคณะตำบล และเจ้าอาวาสเจ้าสังกัด ซึ่งเป็นที่รับรู้กันอยู่ว่านักบวชพวกนี้ก็เคยไปกินไปนอนรับเงินทองจากลัทธินี้มาทั้งนั้น ไม่เว้นแม้แต่เจ้าคณะใหญ่หนกลาง

งานนี้ไม่รู้ว่า ๓ ปี จะจบหรือเปล่า พุทธะอิสระเคยบอกแล้วว่า ระวังจะไปตกหลุมพรางของพวกเขา สุดท้ายก็ตกหลุมจนได้

สุดท้าย ชาวพุทธอย่างพวกเราคงได้แต่หวังว่าท่านเจ้าคณะหนกลาง จะมีจิตสำนึก ใช้อำนาจทางการปกครองสั่งการให้เจ้าคณะภาค เจ้าคณะจังหวัด อำเภอ ตำบล ใช้กฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ ๒๑ ข้อที่ ๓ ดำเนินการกับเจ้าลัทธิกบฏผีบุญและพวก

พวกเราหวังว่าเจ้าคณะหนกลางจะไม่ไปใช้ ข้อ ๔ และข้อ ๘ มาดำเนินการจัดการกับเจ้าลัทธินี้

ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงๆ ก็ต้องทวงถามความรับผิดชอบจากท่านกันอีกซักครั้ง

พุทธะอิสระขอตั้งข้อสังเกตว่า หากเจ้าคณะหนกลางคิดจะใช้กฎหมายมหาเถรสมาคมฉบับที่ ๒๑ มาจัดการกับเจ้าลัทธิกบฏผีบุญตนนี้จริงๆ คงจัดการไปนานแล้ว ไม่ต้องให้เจ้าหน้าที่มายืนตากแดดหัวแดงเป็นพันๆ คนเช่นนี้ดอก

เฮ้อ… เวรกรรมของพุทธศาสนาจริงๆ

พุทธะอิสระ