สงครามยังไม่ทันจบ ก็มานับศพทหารแล้วหรือท่านผู้ช่วยศาสดาจารย์

0
1837

พอมีข่าวอัยการสั่งไม่ฟ้องตุ๊แป๊ะ ผู้ใกล้ชิดสมเด็จช่วงในคดีครอบครองรถหรูหนีภาษี

ก็มีบรรดากองเชียร์ของสมเด็จช่วงและตุ๊แป๊ะออกมาเรียกร้องให้คืนภาพลักษณ์ของสมเด็จช่วงและลูกน้องผู้ถูกกล่าวหา

โดยกองเชียร์ได้ออกมากล่าวว่า “ฝ่ายที่เห็นต่างและต้องการให้เกิดปัญหาในทางเสื่อมเสีย” คงไม่สบายใจ

ในฐานะคนที่เคยคุ้นเคย อยากเรียนท่านอาจารย์บรรจบว่าท่านก็เรียนมาจนเป็นถึงมหาเปรียญ ๙ ประโยค ท่านไม่เคยได้ยินคำว่า “ธรรมใดเกิดแต่เหตุ พระศาสดาทรงแสดงเหตุและความดับเหตุแห่งธรรมนั้น” เลยหรือ

ถ้าสมเด็จช่วงของท่านมีวัตรปฏิบัติตามหลักพระธรรมวินัยโดยเคร่งครัด คนในโลกนี้ยังจะมีใครกล้ากล่าวร้ายป้ายสีสมเด็จช่วงและลูกศิษย์ได้กระนั้นหรือ ท่านอาจารย์บรรจบเป็นถึงภาคีสมาชิกราชบัณฑิต ท่านคงจะเคยได้ศึกษาลักษณะตัดสินพระธรรมวินัยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้ง ๘ ประการมาอยู่บ้าง หากหลงลืมลองมาดูกันอีกซักครั้งก็ได้ ว่าพระพุทธเจ้าทรงสอนว่าอย่างไร

พระบรมศาสดาทรงสอนว่าภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ต้องอยู่เพื่อ

๑. วิราคะ คือ ความคลายกำหนัด มิใช่เพื่อความกำหนัดย้อมใจ
๒. วิสังโยค คือ ความหมดเครื่องผูกรัด มิใช่เพื่อผูกรัด
๓. อปจยะ คือ ความไม่พอกพูนกิเลส มิใช่เพื่อพอกพูนกิเลส
๔. อัปปิจฉตา คือ ความอยากอันน้อย มิใช่เพื่อความมักมากอยากใหญ่
๕. สันตุฏฐี คือ ความสันโดษ มิใช่เพื่อความไม่สันโดษ
๖. ปวิเวก คือ เป็นไปเพื่อความสงัด มิใช่เพื่อความคลุกคลีอยู่ในหมู่คณะ
๗. วิริยารัมภะ คือ การประกอบความเพียร มิใช่เพื่อความเกียจคร้าน
๘. สุภรตา คือ ความเลี้ยงง่าย มิใช่เพื่อความเลี้ยงยาก

ขอถามท่านอาจารย์บรรจบว่า สมเด็จช่วงและพวกมีอะไรที่เหมือนหรือตรงกับหลักตัดสินพระธรรมวินัยของพระพุทธเจ้าทั้ง ๘ ข้อบ้างล่ะ และที่อาจารย์บรรจบกล่าวว่า ในสายตาของคุณ สมเด็จช่วงเป็นพระโบราณรุ่นเก่า ที่คนไทยอยู่กันด้วยประเพณีที่มีความเคารพพระ และพระเองก็ทำตัวสบายๆ กันเองต่อญาติโยม

พุทธะอิสระขอถามคุณบรรจบว่า ในพระธรรมวินัยนี้มีข้อไหนที่อนุญาตให้พระทำตัวสบายๆ เป็นกันเองต่อญาติโยมบ้าง และถ้ามีพระที่ทำตัวสบายๆ เป็นกันเองต่อญาติโยม พระธรรมวินัยสิกขาบทใด พระคาถาภาษิตไหน ที่องค์พระบรมศาสดาทรงอนุญาตไว้

และที่คุณบรรจบบอกว่า สมเด็จช่วงได้เปิดโอกาสให้สังคมได้ตรวจสอบตามกระบวนการทางกฎหมายแล้ว

พุทธะอิสระอยากบอก ถ้าคุณบรรจบพูดผิด คุณพูดใหม่ได้นะ
เพราะจากที่สังคมรับรู้ สมเด็จช่วงไม่เคยออกมาพูดหรืออธิบายความจริงให้สังคมรับรู้เลย แล้วจะเรียกว่าเปิดโอกาสได้ไง ทั้งยังตั้งทนายออกมาคอยพูดแก้ต่างให้อีก แม้เจ้าหน้าที่ดีเอสไอขอเข้าพบพูดคุยสอบถาม ก็ยังไม่ออกมาพูดคุยด้วยเลย

ฉะนั้นการที่คุณบรรจบออกมาพูดว่าสมเด็จช่วงเปิดโอกาสนั้น ไม่น่าจะจริง

แต่เรื่องจริงคือ

สมเด็จช่วง เซ็นเช็คจ่ายเงินให้คนจัดซื้อจัดจ้างเพื่อนำรถคันนี้มาเป็นกรรมสิทธิ์ตน นี่จริง

สมเด็จช่วง มีชื่อครอบครองรถหรูหนีภาษี นี่จริง

สมเด็จช่วง มีความยินดีที่มีรถคันนี้เอาไว้ในครอบครอง นี่คือความจริง

สมเด็จช่วง รู้อยู่แก่ใจว่าพระธรรมวินัยห้ามไม่ให้ภิกษุสะสมเงินและทอง นี่เป็นความจริง

สมเด็จช่วง รู้อยู่แก่ใจว่าพระพุทธเจ้าทรงสอนให้เห็นถึงพิษภัยของโลกธรรมทั้ง ๘ ประการ ที่ภิกษุผู้ใคร่ในธรรมวินัยไม่ควรข้องแวะ นี่เป็นความจริง

สมเด็จช่วง รู้มาแต่แรกแล้วว่ารถคันนี้มีปัญหา เพราะมีการแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษในกรณีครอบครองรถหรูมาตั้งแต่ปี ๒๕๕๖ หากสมเด็จช่วงไม่คิดครอบครอง ไม่ผูกพันหวงแหน ทำไมไม่แสดงความบริสุทธิ์ใจด้วยการส่งมอบคืนรถให้แก่รัฐตั้งแต่แรก กลับมาคืนเอาตอนเป็นข่าว

เหล่านี้คือความจริง ฉะนั้นความจริงเหล่านี้แหละคุณบรรจบ ที่บ่อนทำลายภาพลักษณ์ของสมเด็จช่วง หากไม่มีความจริงเหล่านี้ ใครในโลกนี้จะทำลายสมเด็จช่วงของคุณได้ล่ะคุณบรรจบ

ดูคุณบรรจบจะห่วงใยในภาพลักษณ์ของสมเด็จช่วงและพวกมากกว่าความอยู่รอดของพระธรรมวินัย นี่คือความจริง

ผู้คนในสังคมไม่เคยเห็นไม่เคยได้ยินว่าอดีตมหาเปรียญ ๙ ประโยค อดีตอนุศาสนาจารย์ เป็นถึงผู้ช่วยศาสดาจารย์และด็อกเตอร์อย่างคุณบรรจบออกมาพูดออกมาวาพากวิจารณ์ ห่วงใยต่อกรณีลัทธิอลัชชีทำจนตัวตายที่ย่ำยีพระธรรมวินัย นี่ก็เป็นความจริง

สังคมไม่เคยเห็น ไม่เคยได้ยินคุณบรรจบ ที่ได้รับการยกย่องว่ารอบรู้พระธรรมวินัยออกมาพูดชี้แจงเลยว่า การที่เจ้าลัทธิอลัชชีทำจนตัวตายมีคำสอนและวัตรปฏิบัติที่ผิดเพี้ยนไปจากหลักการเดิมของพระธรรมวินัย นี่ก็เป็นความจริง

และก็เป็นความจริงที่สังคมเขาสังเกตเห็นว่าหลายครั้งที่คุณบรรจบออกมาพูดหรือแสดงท่าทีปกป้องกลุ่มหรือพวกพ้องของอลัชชีผู้ย่ำยีพระธรรมวินัยจนดูน่าเกลียด นี่ก็เป็นเรื่องจริง

ที่จริงพุทธะอิสระก็รู้สึกเกรงใจและระลึกถึงน้ำใจของคุณบรรจบที่สู้อุตส่าห์เดินทางมาร่วมงานบวชของพุทธะอิสระ ทั้งยังเคยไปช่วยเป็นคู่แสดงธรรมในหลายสถานที่ เมื่อคราวที่มูลนิธิธรรมอิสระเขาจัดงานเสวนาธรรม อีกทั้งคุณบรรจบเองก็เคยนิมนต์พุทธะอิสระให้ไปช่วยบรรยายธรรมแก่นักศึกษาในมหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยอยู่หลายครั้ง พุทธะอิสระจึงไม่อยากเขียนวิพากษ์วิจารณ์ถึงสิ่งที่คุณบรรจบพูดทำคิดนักซักเท่าไหร่

แต่พักหลังๆ นี้ ดูเหมือนคุณบรรจบจะเปลี่ยนไป

ดูจากการกระทำของคุณบรรจบในช่วงเวลาที่ผ่านมาดูจะให้ความสำคัญห่วงใยในภาพลักษณ์ของบุคคลและพวกพ้องมากกว่าหลักการพระธรรมวินัย ถึงขนาดออกมาพูดเสนอแนวคิดให้นักบวชในพระพุทธศาสนาเล่นการเมืองได้ อันนี้พุทธะอิสระรับไม่ได้จริงๆ

แม้พุทธะอิสระจะออกมาวิพากษ์วิจารณ์การกระทำของนักการเมือง ออกไปเป็นแกนนำต่อสู้ในเวทีแจ้งวัฒนะ ทั้งหมดล้วนเพื่อต้องการความถูกต้องเที่ยงธรรมของสังคม และความบริสุทธิ์บริบูรณ์ของพระธรรมวินัย หาได้ปรารถนา ยศ อำนาจ วาสนา ลาภสักการะใดๆ ไม่

ขนาดยังไม่มีกฎหมายรับรองให้พระเล่นการเมืองได้สังคมยังเห็นภาพนักบวชพวกพ้องของคุณบรรจบ ไปเดินตามตูดพินอบพิเทาประจบรับซองของพวกนักการเมืองอยู่เนืองนิตย์

ถ้าหากมีกฎหมายรับรองให้พระเล่นการเมืองได้ พระธรรมวินัยนี้จะเหลืออะไร ฉันแทบไม่อยากคิดเลย และด้วยพฤติกรรมดังกล่าวมานี้ของคุณบรรจบนี่แหละ เลยทำให้ฉันต้องเสียมารยาทเขียนมาถามและตัดพ้อต่อคุณบรรจบผู้คุ้นเคยซักครั้งหนึ่ง ย้ำว่าเขียนด้วยความเกรงใจ

พุทธะอิสระ