ข้าวในบาตร-ข้าวในนา’ สิ้นยาง?
เปลวสีเงิน 28 พฤศจิกายน 2559
เรื่อง “สมีโย” น่ะ………
เรา “ชาวบ้าน” ผู้จ่ายเงินเดือน ไม่ต้องทุกข์ร้อนไปหรอก!
ดู “คนกินเงินเดือน” จากเราซักพัก
ไล่ลงไปตั้งแต่ ดีเอสไอ-ตำรวจ-อัยการ-สำนักพุทธ-มหาเถรฯ จนถึงคณะรัฐบาล
รวมๆ แล้ว “เป็นแสน-เป็นล้านคน”………..
ว่าจะมีน้ำยาเอาตัวโจร “ในคราบโล้นห่มเหลือง” ที่ชื่อธัมมชโย “เพียงคนเดียว” เข้าสู่กระบวนการกฎหมายได้มั้ย?
ตอนนี้ พวกดอกเตอร์ไปจากวัด แล้วคาบคัมภีร์พ่นธรรมสอนชาวบ้าน สอนพระตามมหาลัย
ส่วนหนึ่งเป็นพวกมหาเปรียญเก่า อาศัยผ้าเหลืองร่ำเรียนจบปริญญาแล้วก็สึกเอาวิชาไปหากินทางโลก
กำลังใช้ความ “รู้มาก” ลวงโลก…….
โดยใช้ดีกรีและภาพลักษณ์ผู้รู้ทางศาสนาประกันคำพูดตัวเองให้ชาวบ้านหลงว่า
“ลัทธิธรรมกาย” คือ “พระพุทธศาสนา”
“พระพุทธศาสนา” คือ “ลัทธิธรรมกาย”
พุทธศาสนากับลัทธิจานบิน เป็นอันเดียวกัน!
การจับสมีโยก็ดี การโจษขานธรรมกายเป็นลัทธิหลอกขายบุญ หลอกขายนรก-สวรรค์ก็ดี
การบอกว่าธรรมกายตู่พระพุทธพจน์ ก็ดี การสอน-การปฏิบัติ “วิปริตผิดเพี้ยน” จากพระธรรมวินัยก็ดี
ว่านั่น คือแผนจากฝ่าย “จ้องล้ม” พระพุทธศาสนา!
ดูมันทำสิ ………..
ระดับพระเก่า บวชเรียนมาก่อนแท้ๆ แทนจะเข้าถึงธรรมพุทธองค์ กลับเข้าถึงเงินจานบินที่หว่านโปรยในรูปแบบต่างๆ
แล้วพวกรับใช้โจรปล้นศาสนา ก็สรุปดื้อๆ ว่า
“ล้มลัทธิธรรมกายได้ เท่ากับล้มพระพุทธศาสนาได้”!?
ไม่แค่นั้น………..
ยังพูดแทง-แยงยั่ว ปั่นหัวชาวบ้านให้เข้าใจว่า นี้เป็นแผน “ศาสนาหนึ่ง” ในประเทศไทย ที่จ้องล้มพุทธศาสนา
พูดง่ายๆ เบี่ยงประเด็นของตัวเอง ไปเสี้ยมให้คน ๒ ศาสนาทะเลาะกัน หวัง “ขึ้นภูดูเสือกัดกัน”
ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งล้มเจ็บ-ล้มตายกันไป
ที่สบายคือ กู….ธรรมกายจานบิน!
ถ้าสังเกตจะเห็น ไม่ใช่เดี๋ยวนี้ นานมาแล้ว แต่มาเผยตัวให้เห็นชัด ตอนระบอบทักษิณเปิดศึก “ล้มประเทศ-ล้มสถาบัน” ในรอบ ๑๐ ปี นี้แหละ
มีพวกอาศัยผ้าเหลืองเรียนแล้วสึกไปหากินทางโลกกลุ่มหนึ่ง สมคบกับพวกโล้นห่มเหลืองที่รู้ไส้-รู้พุงในความเป็นพระมาด้วยกัน
ตั้งกลุ่ม-ตั้งแก๊ง ………
อ้างเป็นองครักษ์พิทักษ์พุทธศาสนาต่างๆ นานา!
พอทักษิณเสียอำนาจ เกิดกลุ่มแดงป่วนเมือง ก็เปลือยธาตุแท้ชัดจากพฤติกรรม
“แก๊งพระผสมผี” นี้ ก็คือ แดงในซีกสงฆ์นั่นเอง
เปลือยตัวตนทางวิทยุ ออกโทรทัศน์ ขึ้นเวทีแดง ซ่องสุมชุมนุมคนพรรคการเมืองระบอบทักษิณ
กระทั่งเป็นตัวนำทักษิณตระเวนไปตามวัดในต่างประเทศ เกณฑ์พระมาเป็นสาวก
แล้วแจกซอง!
ตัวนำทั้งหัวดำ-หัวโล้น ส่วนมากสอนตามสถาบันศึกษาสงฆ์ และอยู่กลุ่มอำนาจปกครองสงฆ์
ถามว่า คนระดับมีการศึกษา เป็นถึงครูบาอาจารย์ ………..
ทำไมแยกดี-แยกชั่วไม่ได้ ประพฤติทุราจาร ต่อบ้าน-ต่อเมือง และต่อพุทธศาสนาถึงขนาดนั้น?
มองถึงเหตุปัจจัย ก็พอเข้าใจได้………..
คือโดยทั่วไป พระ-เณร ที่เข้ามาศึกษาร่ำเรียนนั้น ร้อยละ ๘๐-๙๐% ก็ว่าได้ เป็นลูกชาวบ้าน ไม่ได้มีฐานะร่ำรวยมากนัก
การเล่าเรียนผ่านทางศาสนา จึงเป็นโอกาสดี เพราะไม่ต้องใช้เงินทองมาก บ้านไม่ต้องเช่า-ข้าวไม่ต้องซื้อ
แรกๆ ก็เรียนวิชาทางพระพุทธศาสนา อยู่ไปนานๆ ก็สอดส่ายเรียนวิชาทางโลก
การเป็นพระ-เณรอยู่ในกรุงเทพฯ อาหารขบฉันไม่สมบูรณ์เหมือนอยู่ต่างจังหวัด อุปกรณ์การเรียน ตลอดถึงเครื่องใช้จำเป็นก็ต้องใช้เงินซื้อ
แล้วจะเอาเงินที่ไหนล่ะ?
พระ-เณร ท่านก็ไม่ถึงไปปล้น ไปทำผิดศีลหรอก แต่นั่น เป็นช่องว่างให้พวกพระดังๆ ที่ใช้เดรัจฉานวิชาแสวงหาลาภยศ สอดแทรก
จะแสดง “ศรัทธาแอบแฝง” เข้ามาหาพวกตามแหล่งศึกษาสงฆ์ ในรูปสนับสนุนการศึกษา สร้างโน่น-นี่
มีแมวมอง จ้องดูพระ-เณร เห็นองค์ไหนมีแวว มีอนาคต เป็นเจ้าอาวาส เป็นเจ้าคุณ ก็ทุ่มแทงทันที!
เข้าไปอุปถัมภ์ นิมนต์ไปเทศน์ ไปฉันเช้า-ฉันเพล แล้วถวายจตุปัจจัย เรียกว่าปรนเปรอพระ-เณรรูปนั้นๆ จนติดลาภสักการะ
พระ-เณรติดอามิส…….
ก็เหมือน “คนติดยา” นั่นแหละ จะภักดี “ขายตัว-ยอมทำ” เพื่อแลกกับยา เปลือกมองเห็นเป็นสัทธรรม แต่เนื้อแท้ คืออสัทธรรม
ก็ไม่ได้เป็นอย่างนี้ทั้งหมดหรือมีมากมายอะไรหรอก เขาจะเลือกไปเพาะเป็นหัวเชื้อไว้จำนวนหนึ่ง
พอหัวเชื้อโต ถ้าไม่สึก ก็ค่อยๆ สูงสมณศักดิ์ สูงตำแหน่งทางปกครองสงฆ์ หัวเชื้อก็จะไปสร้างบริวารต่อเองทางศาสนจักร
แต่ถ้ามีวิชาแล้วสึกไปคึกทางโลก ไปเป็นครูบาอาจารย์ ไปเป็นอนุศาสนาจารย์ ต่างๆ นานา
นี่ก็ไปเป็นหัวเชื้อสร้างบริวารทางอาณาจักร!
มีอดีตพระเจ้าสำนักหนึ่ง อยู่ในคุกหลายสิบปีแล้ว ยังไม่ออก ตอนยังไม่ติดคุก ชื่อภาวนาพุทโธโด่งดังมาก จัดรายการทางวิทยุทั้งวัน-ทั้งคืน
ผมยังจำติดหู เดี๋ยวทอดผ้าป่าพระสถาบันการศึกษาสงฆ์ เดี๋ยวนิมนต์มาฉันที่วัด แล้วถวายเงิน-ถวายทอง
เรียกว่า “เป็นขาประจำ” กันเลย!
เพื่ออะไร ก็เพื่อ “ซื้อใจ-ซื้อพวก” เอานามสถาบันศึกษาสงฆ์มาคลุมเสริมบารมีเดรัจฉานวิชา เป็นการสร้างความเชื่อถือจากชาวบ้าน
พระเถระผู้ใหญ่วัดมหาธาตุฯ ท่าพระจันทร์รูปหนึ่ง เคยมีคำปรารภเรื่องนี้ และมีเผยแพร่ตามเว็บ แต่ถูกลบทิ้งไปแล้ว
ผมยังจำได้ คือท่านปรารภว่า พระ-เณรดีๆ ในวัด ถูกต้อนไปเข้าสำนักธรรมกายหมด!
องค์ไหนเรียนเก่ง ได้เปรียญ ๖-๗-๘ ประมาณนั้น จะมีแมวมองมาสำรวจ ที่เห็นว่าองค์นี้มีแววรุ่ง
จะเข้าไปอุปถัมภ์-อุปัฏฐาก!
แรกๆ มาที่วัด นานๆ ไป นิมนต์ไปฉัน ไปเทศน์ที่จานบิน ลงท้าย ย้ายจากวัดมหาธาตุฯ ไปสังกัดวัดจานบินเลย
จนวัดจานบินเป็นสำนักศึกษาใหญ่ มีพระ-เณรสอบเปรียญธรรมได้ปีละมากๆ ถึงระดับเปรียญ ๙ ประโยค
นี่…ใจความที่พระเถระวัดมหาธาตุฯ ปรารภไว้ มีประมาณนี้!
จะเห็นว่า อาณาจักรจานบินมีเป้าหมายและมีแผนรุกคืบเข้าคลุมพุทธศาสนาในไทยเป็นขั้นตอนมาแต่เริ่ม
และใช้การตลาดกับศาสนาได้อย่างมีผล คนวางแผนการตลาดให้นั้น เอ่ยชื่อต้องรู้จักกันดี เพราะโด่งดังด้านโฆษณาประชาสัมพันธ์ในยุคหนึ่งมาก
แม้กระทั่ง “สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนมงคลเศรษฐี” ในวัดธรรมกาย ที่สมีโยตั้งสโลแกนให้นายศุภชัย ศรีศุภอักษร ผู้บริหารตอนนั้นว่า “ให้บิลเกตเป็นเศษสตางค์”
ด้านการตลาด เพื่อหลอกดูดเงินสาวกด้วย “บุญผ่อนส่ง” ยักเยื้องวิธีการต่างๆ จัดงานนั่น-นี่อลังการงานสร้าง
ก็จากมันสมองนักการตลาดคนนี้แหละ!
แต่คงได้บุญจานบินมาก เห็นตายไปเมื่อปี-สองปีนี้เอง จองซื้อวิมานไว้ที่สวรรค์ชั้นไหนก็ไม่รู้เหมือนกัน?
ที่เล่ามานี้ ก็ปูพื้นให้ทราบ………..
ว่าที่เห็นพระบ้าง ฆราวาสบ้าง ระดับอาจารย์สถาบันศึกษาสงฆ์ เป็นถึงเจ้าอาวาส-รองเจ้าอาวาส สมณศักดิ์สูงๆ
ทำไมถึงมืดบอด แยกชั่ว-แยกดีไม่ออก ยอมเป็นข้าทาสให้ลัทธิจานบิน บูชาตีนสมีโยถึงขนาดนั้น?
และที่เศร้า-ปนทุเรศเอามากๆ
คนมีความคิดนำชาวบ้านทางศาสนา เป็นดอกเตอร์ เป็นอาจารย์ เคยสอนทหาร สอนชาวบ้าน
กลับยกลัทธิธรรมกายที่ตู่ธรรมพุทธองค์ขึ้นเป็นตัวพุทธศาสนา!?
กล้าและบังอาจพูดถึงขั้นว่า……….
ล้มธรรมกายคือล้มพุทธศาสนา?
นึกว่า ในปรากฏการณ์ “ขายชาติ-ล้มสถาบัน” ข้าวไทยหมดยาง ก็คงแค่ “ข้าวในทุ่ง”
แต่ที่ไหนได้…”ข้าวในบาตร” แท้ๆ ก็ยัง “หมดยาง” ทำให้ “บางพระ-บางทิด”
“มิดนรก” ทั้งเป็น เห็นๆ อยู่!