วันนี้ (๓๐ ตุลาคม ๒๕๕๙) ฉันอาการไม่ค่อยจะดี เพราะไปติดไข้หวัดมาจากดาบแสบคนขับรถ ทั้งที่พยายามระมัดระวังตัวแล้ว แต่สุดท้ายก็ป่วยจนได้
นี่คงจะมาจากเหตุที่ร่างกายอ่อนแอจากการตรากตรำทำงานหนักมาตั้งแต่ช่วงเข้าพรรษา จนถึงงานสวดพระศพของพ่อหลวง ที่เช้ามืดออกจากวัด ต้องมานั่งทำอาหารในสถานที่ๆ มีอากาศทั้งร้อนทั้งหนาว อบอ้าวและชื้นแฉะเพราะฝนตกทุกวัน แถมบางวันก็ฉันอาหารแค่นิดหน่อย
เหตุเพราะขณะกำลังฉันพอดีอาหารที่ใช้เลี้ยงคนหมด ก็ต้องหยุดฉันลงมือทำอาหารให้พี่น้องเขาได้กิน กว่าจะเลิกก็ปาเข้าไป ๒-๓ ทุ่ม กลับถึงวัดก็ ๔ ทุ่มกว่า กว่าจะนอนก็ปาเข้าไป ๕ ทุ่ม
ตี ๔ ก็ต้องลุกขึ้นเตรียมตัวออกจากห้องไปตรวจตราโรงครัวว่าพวกแม่ครัวพ่อครัวเขาทำอาหารกันพร้อมที่จะมาจัดเลี้ยงแจกให้แก่พี่น้องไทยทุกคนหรือไม่
ที่จริงก็ไม่ใช่แค่ฉันเท่านั้นที่เปลี้ยที่เพลียอ่อนละโหยโรยแรง ยังมีบรรดาลูกหลานชาวครอบครัวธรรมอิสระและพี่น้องที่มีจิตอาสาเข้ามาช่วยงานโรงครัว ช่วยงานที่เต็นท์หมายเลข ๙ แต่ละคนล้วนอ่อนละโหยโรยแรงกันไปตามๆ กัน
จนบางวันบางคืน ฉันต้องหันไปใช้บริการของท่านชัยณรงค์ ให้ทำอาหารมาขัดตาทัพตอนช่วงเช้า เพื่อเปิดโอกาสให้คนช่วยงานรวมทั้งฉันเอง ได้มีโอกาสพักผ่อนบ้าง
อย่างเช่นวันนี้เป็นต้น ท่านชัยณรงค์และลูกศิษย์ของเขาก็ทำก๋วยเตี๋ยวเส้นหมี่แห้ง มาแจกในมื้อเช้าจนถึงเที่ยง และยังมีคนนำอาหารมาเสริมอีกคนละ ๑-๒ ร้อยห่อ ก็พอจะรับมือไปได้
ส่วนมื้อเที่ยงจนถึง ๒ ทุ่ม ฉันสั่งให้ร้านอาหารที่เคยมาส่งกระเพาะปลาช่วยทำหูฉลามน้ำแดงมาให้ ๗๐ โล ตักได้ประมาณ ๔ พันถ้วย โดยหุ้นกับเจ้าคุณแย้ม เจ้าอาวาสวัดไร่ขิง
ส่วนมื้อเย็นก็มีกระเพาะปลาที่โรงครัววัดอ้อน้อยทำมา ๖ หม้อแขก
งานสวดพระศพพ่อฉันได้สั่งหูฉลามและกระเพาะปลามาเลี้ยงบ่อยมาก จนอีอ้วนแม่ครัวมันบอกว่า
หลวงปู่เจ้าคะ เปลี่ยนเป็นเมนูผัก ต้มยำทำแกงบ้างไม่ได้หรือเจ้าคะ เพราะกระเพาะปลาทำครั้งหนึ่งก็ไม่ต่ำกว่า ๕-๖ หมื่นบาท ยิ่งหูฉลามน้ำแดงแล้ว เป็นแสนนะเจ้าคะ
ฉันบอกอีอ้วนไปว่า เลี้ยงแขกของพ่อ อาหารต้องดี ต้องให้สมพระเกียรติ แม้พ่อจะบอกจะสอนว่าให้อยู่อย่างพอเพียง แต่งานอย่างนี้ไม่ได้มีทุกวัน ไม่ได้มีตลอดไป ไหนๆ ที่จะทำอะไรให้พ่อแล้ว ก็ต้องให้ดีที่สุด เลิศที่สุด ตามกำลังที่เราพอมี
วันนี้มาถึงสนามหลวงเวลา ๙ โมงเช้า เห็นแถวพี่น้องลูกหลานของพ่อพากันมายืนเข้าแถวตากแดด หัวแดง เหงื่อโทรมกาย ฉันจึงสั่งให้คนในเต็นท์นำน้ำเย็น ผ้าเย็น และขนมคุกกี้และแซนวิชไปแจกให้ทุกคนได้กินรองท้องในขณะที่ยืนเข้าแถวรอคิวที่จะเข้าไปในพระบรมมหาราชวัง เพื่อจะได้กราบพระศพของพ่อผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ
แต่ก็แจกไม่ได้ทุกคน เพราะขนมที่จัดเตรียมไปมีแค่ ๒ พันกล่อง ไม่เพียงพอกับผู้คนที่มายืนรอกันเป็นหมื่น
ฉันเห็นพี่น้องแต่ละคนแต่งตัวด้วยชุดสีดำ บ้างก็ผูกเนคไท บ้างก็ใส่เสื้อพระราชทาน บ้างสวมใส่กระโปรงยาวปิดแขนปิดขาถึงตาตุ่ม ในขณะที่อากาศก็ร้อนแสนร้อน แถมยังยืนอยู่ท่ามกลางแสงแดดอันแผดจ้า ดูพวกเขาช่างมุ่งมั่นทุ่มเท ไม่ย่อท้อ ไม่ยอมออกมาจากแถว เพราะกลัวจะเสียพื้นที่
ฉะนั้นเวลาที่เราเลี้ยงอาหาร จะต้องให้คนนำข้าวนำน้ำขนมไปแจกให้ถึงในแถว เพราะทุกคนกลัวจะเสียสิทธิ แม้จะเข้าห้องน้ำ พวกเขาก็ไม่กล้า บางคนมายืนรอตั้งแต่ตีหนึ่งเพื่อมุ่งหวังว่าจะได้เข้าไปกราบพระศพของพ่อเป็นรายแรก แต่ก็ยังช้ากว่าผู้ที่มาก่อนหน้านั้น ผู้ที่มาตอนตีหนึ่งจึงได้เข้าไปกราบพระศพเอาตอนบ่ายโมง
หลายคนที่มายืนรอตั้งแต่เช้ามืด ไม่ได้กินข้าวกินน้ำหรือขับถ่าย กว่าจะได้กราบพระศพได้ก็ปาเข้าไป ๔-๕ โมงเย็น หิวแทบจะเป็นลม อาหารในแต่ละเต็นท์ก็หมดลง จะมีก็แต่เต็นท์หมายเลขเก้า ที่เราทำเตรียมไว้ตลอดจนถึง ๒ ทุ่ม เห็นพวกเขาได้กินอาหารของเราเป็นมื้อแรกในรอบวัน แล้วเดินทางกลับบ้านด้วยความสุขอิ่มท้อง ทำให้ฉันน้ำตาไหลปลาบปลื้มใจที่เราได้ช่วยทำให้แขกของพ่ออิ่ม ไม่อดอยาก
พฤติกรรมเช่นนี้ หากไม่ใช่คนกตัญญูรู้คุณที่มีความรักและเทิดทูนพ่อคงทำไม่ได้ คนที่ไม่มีจิตใจผูกพันกับสถาบันพระมหากษัตริย์อาจจะมองว่าเป็นเรื่องตลกโง่เขลา
แต่สำหรับคนที่มีจิตสำนึกกตัญญูรู้คุณแผ่นดิน เขาจะรู้ว่าขอเพียงซักครั้งหนึ่งในชีวิตให้ได้เข้าใกล้พ่อผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ แม้จะเป็นเพียงแค่ร่างที่ไร้วิญญาณก็ตาม พวกเขาก็รู้สึกปลาบปลื้มปีติภาคภูมิใจแล้ว ที่ได้เห็นสัญลักษณ์ของผู้มีบุญคุณต่อแผ่นดิน
พุทธะอิสระ