อาลัยแด่จันทน์ทิพย์ ผู้เป็นเมียของผัวและแม่ของลูกผู้อดทนหนักแน่น ควรค่าแก่การระลึกถึง

0
422

บ่ายวันอังคารที่ ๔ ตุลาคม ๕๙ ฉันต้องรีบเดินทางออกจากวัด หลังจัดรายการหยิบมาเล่า เรื่องราวพระชาดกในพระไตรปิฎกจบลง

แล้วออกเดินทางไปร่วมงานอาบน้ำศพของอีจันทน์ทิพย์

หลังจากเมื่อคืนวันจันทน์ฝันเห็นมันมากราบลาฉัน ด้วยกิริยาท่าทีเคารพบูชา

จำได้ว่าฉันพูดกับมันไปว่า “เอ็งโชคดีแล้วที่ได้รับมรณะสมบัติก่อนข้า และก็โชคดีมาก ๆ ที่มีสติระลึกรู้ ก่อนที่จิตสุดท้ายของเอ็งจะดับ”

“เมื่อร่ำลาญาติมิตร และผู้ที่เป็นที่รักเรียบร้อยแล้ว ก็จงกำหนดจิตไปเกิดในที่ดี ๆ ที่ที่เอ็งไม่ต้องมาทนทุกข์ แบกภาระ ทรมานเหมือนดังชาตินี้”

ฉันฝันเห็นมันนั่งคุกเข่าก้มลงกราบท่าเทพธิดา ด้วยกิริยานอบน้อม ฉันจึงบอกมันไปว่า “จุติ จุตัง อรหัง จุติ นะลูก”

แล้วมันก็กล่าวว่า “ลูกขอลานะเจ้าคะ แล้วมันก็หายไป”

เจ้าปั๊ปลูกชายอีจันทน์และเจ้าแก้ว เด็กที่อีจันทน์มันเลี้ยงและรักเหมือนลูกเล่าให้ฉันฟังในงานรดน้ำศพว่า

ทุกครั้งที่ฉันไปเยี่ยม อีจันทน์มันจะกระตือรือร้นมาก

ทั้งที่ตลอดเวลา มันจะนอนอ่อนเปลี้ยหมดเรี่ยวหมดแรง

พอมันรู้ว่าฉันไปเยี่ยมมัน ทุกครั้งมันก็จะกระตือรือร้น เรียกให้คนเฝ้าไข้จัดเตรียมผ้าผ่อน ดูแลร่างกายของมันให้เรียบร้อย เช็ดหน้า เช็ดตา ทาลิปมันมิให้ปากแห้ง

เมื่อมันได้เจอฉันก็มีเรี่ยวแรงที่จะยกมือขึ้นประนมไหว้ อย่างนอบน้อมบูชา

พอฉันเห็นหน้ามัน ฉันก็จะตะโกนถามว่า “อีจันทน์มึงยังอยู่อีกหรือ ยังไงก็ห้ามตายก่อนกูนะโว้ย”

อีจันทน์มันก็หัวเราะด้วยสีหน้าเบิกบานและมีความสุข

เจ้าปั๊ปลูกชายมันบอกฉันว่า ทุกครั้งที่หลวงปู่มาเยี่ยม คุณแม่จะแข็งแรงมาก พูดคุยกับหลวงปู่ได้เป็นชั่วโมง แต่พอหลวงปู่กลับ คุณแม่จะหมดเรี่ยวแรง ไม่พูดไม่จากับใคร เอาแต่นอน

เจ้าแก้วเด็กที่มันรักเหมือนลูก ก็เล่าให้ฉันฟังว่า เวลาที่หลวงปู่มาพูดคุย คุณแม่จะมีแรงบ่นผม เหมือนเมื่อครั้งที่คุณแม่เป็นปกติ

บางทีก็จะตำหนิผมต่อหน้าหลวงปู่ด้วย ซึ่งก่อนที่หลวงปู่จะมาเยี่ยมคุณแม่ได้แต่นอนเฉย ๆ

ทำให้ฉันนึกขึ้นมาได้ว่าจริงอย่างที่เจ้าแก้วมันเล่า เพราะครั้งหนึ่งที่ฉันไปเยี่ยมมัน แล้วเปิดผ้าห่มของอีจันทน์ เพื่อจะดูที่หลังเท้าของมันว่ามันบวมหรือไม่ ฉันเห็นว่าฝ่าตีนอีจันทน์มันดำเขอะขละทั้งสองข้าง ฉันเลยร้องถามขึ้นว่า “อีจันทน์ทำไมตีนมึงมันถึงได้ดำสกปรกอย่างนี้ว่ะ มึงไปเดินเที่ยวในตลาดมาหรือไง”

อีจันทน์มันหัวเราะ พร้อมพูดว่า เด็กพวกนี้เขาเช็ดให้ทุกวัน ฉันเลยพิจารณาดูอย่างละเอียดจึงร้องบอกมันว่า “เช็ดห่าอะไร นี้มันหมักหมมซ๊กม๊ก โสโครกนะโว้ย”

ฉันจึงเรียกเจ้าแก้วกับเด็กผู้หญิงอีกคน ที่อีจันทน์มันเลี้ยงเอาไว้ให้มาดู

พวกมันยังเถียงฉันว่าคงเป็นจ้ำเลือดช้ำ ๆ กระมังครับหลวงปู่

เพราะเมื่อเช้าก็เช็ดตัวแล้ว

ฉันจึงด่ามันว่า พวกมึงเช็ดแต่ตัวกับหน้าหรือเปล่า

ไม่เช็ดที่ฝ่าตีน มึงรู้ไหมว่า ที่ฝ่าตีนนี้มีจุดประสาทที่เชื่อมสัมผัสกับตับ หัวใจ ไต ปอด และกระเพาะของร่างกาย

ยิ่งคนไข้นอนนาน ๆ ขยับตัวเองไม่ได้ เลือดลมก็จะตกตะกอน เรายิ่งต้องช่วยเช็ดถูและกดกระตุ้นให้อวัยวะสำคัญในร่างกายทำงานได้ปกติ แม้จะไม่สามารถรักษาโรคได้โดยตรง

แต่ก็ยังช่วยให้คนไข้อยู่อย่างสบายตัวมากขึ้น

การรักษามิใช่จะหวังพึ่งแต่ยาอย่างเดียว มันต้องอาศัยกันหลาย ๆ ทางด้วย

แล้วฉันก็บอกให้พวกมันหาผ้าขนหนูผืนเล็กชุบน้ำอุ่น มารองเช็ดฝ่าตีนอีจันทน์มันดู

ผลปรากฏว่า พอเจ้าแก้ว มันเช็ดคราบสกปรกที่ดำเขอะขละเหล่านั้นออกจนหมด

ฉันจึงพูดว่า นี่ไง ขาวแล้วเห็นไหม ใครสอนไอ้พวกนี้มาวะ อีจันทน์

อีจันทน์มันจึงบอกว่า ลูกสอนแต่เล็กจนโตก็ได้เท่าที่หลวงปู่เห็นนี้แหละ พวกนี้สมองไม่เคยจำ

ฉันเห็นอีจันทน์ มันมีแรงตำหนิลูกหลานมันได้ จึงบอกว่า แรงมึงยังดีอยู่นี่หว่า พยายามกินอะไรเอาไว้บ้าง ไม่ต้องกินมาก กินครั้งละนิด แต่กินบ่อยๆ

อีจันทน์มันบอกว่า พอกินอะไรลงไป มันจะพะอืดพะอม ตีออกมาหมด

ฉันจึงบอกมันว่า เหตุเพราะอวัยวะภายในมันกำลังอักเสบ ถ้าจะช่วยลดอาการ อักเสบ ควรจะต้องกินน้ำแตงโมปั่น แตงแคนตาลูปปั่นก็ได้

ทุกครั้งที่ฉันไปเยี่ยมอีจันทน์ ฉันจะไปเตือนมันตลอดว่า มึงเจริญสติบ้างหรือเปล่า ให้เตรียมตัวตายเอาไว้บ้าง

อีจันทน์บอกว่า มันดูลมหายใจอยู่ ฉันจึงบอกมันว่า ลมหายใจก็ยังหยาบอยู่ บางครั้งร่างกายเกิดเวทนาแรงกล้า อาจจะขาดสติ ไม่สามารถกำหนดจิตจับดูลมได้ต้องกำหนดดูจิต ระวังรักษาจิต พระพุทธเจ้าท่านสอนว่า ผู้ที่รักษาจิตได้ ถือว่าเป็นยอดแห่งการรักษา มึงต้องพยายามรักษาจิตอย่าให้จิตกระเพื่อมไปกับอารมณ์ใดๆ

แม้กุศลและอกุศล ก็ยังจะทำให้จิตนี้กระเพื่อมเช่นกัน มึงก็เคยฝึกวิถีจิตที่กูเคยสอนแล้ว มันอยู่ในอาการจิต 10 อย่าง ฉะนั้นไม่ว่ากุศลหรืออกุศลก็จะทำให้จิตนี้กระเพื่อมได้ทั้งนั้น

มีสติเผ้าระวังรักษาจิตนี้เอาไว้อย่าให้กระเพื่อมเศร้าหมอง ให้วางเฉยต่อสุข ทุกข์ และเวทนาหรืออารมณ์ทั้งปวง

เพราะโรคที่มึงเป็น อาการที่ปรากฏ มึงไม่มีเวลามากพอที่จะมาคอยดูลมจนกว่า จิตสงบดอกเข้าใจไหม

อีจันทน์ มันประนมมือรับฟังคำสั่ง พร้อมพยักหน้าพูดว่าเข้าใจคะ

และทุกครั้งที่ฉันไปเยี่ยมมัน ฉันจะถามมันว่า อีจันทน์มึงได้เฝ้าระวังดูจิตของมึงหรือเปล่า

มันบอกฉันว่า ดูอยู่ตลอดคะ

ฉันจึงบอกว่า เออ ดีแล้ว เวลาที่จิตสุดท้าย มาถึง เจตสิกเครื่องปรุงจิต ที่เศร้าหมองจะได้ไม่เข้ามาครอบงำจิตมึงให้ขุนมัวได้

หากมึงสามารถรักษาจิตสุดท้าย เอาไว้ไม่ให้เศร้าหมองขุ่นมัวได้ อย่างเลวก็ไปเกิดเป็นพรหม อย่างกลางก็เป็นพระอริยบุคคล อย่างประเสริฐคือจิตของพระอรหันต์ เข้าใจไหม

อีจันทน์ มันประนมมือ พยักหน้ารับแล้วกล่าวว่า สาธุ คะ

เขียนบอกเล่ารำลึกถึงอีจันทน์ทิพย์ ลิ้มทองกุล มานี้ก็เพื่อเป็นอนุสติเตือนใจให้แก่ท่านทั้งหลาย ได้เข้าใจถึงวิถีแห่งจิตก่อนตายว่า การจะวางจิตเอาไว้อย่างไร จึงจะไม่ต้องรับทุคติในภพชาติต่อไป

ที่จริงยังมีเรื่องราวที่อยากจะนำมาเล่าถึงเหตุการณ์ในวันที่เดินทางไปรดน้ำศพของอีจันทน์ทิพย์ มาเล่าให้รู้กันอีก แต่วันนี้ดึกมากแล้ว

เอาไว้พรุ่งนี้เช้า จะเขียนมาบอกเล่ากันใหม่

ท้ายนี้ต้องขอขอบคุณขอบใจ พี่ น้อง เพื่อนพ้อง และลูกหลานทุกคนที่เดินทางไปแสดงความอาลัย ระลึกถึงผู้ช่วยศาสตราจารย์ จันทน์ทิพย์ ลิ้มทองกุล อดีตอาจารย์ประจำ ภาควิชาคหกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒประสานมิตร

แต่ไม่ว่ามันจะมีวิทยฐานะทรงเกียรติทรงภูมิอย่างไร มันก็คืออีจันทน์ที่ฉันถือว่ามันคือศิษย์ที่ควรค่าแก่การระลึกถึง

ดังที่ฉันบอกกับเจ้าปั๊ปลูกมันว่า “แม่มึงเป็นลูกศิษย์กู แม้ตายเป็นผี มันก็คือผีลูกศิษย์กู”

เจ้าปั๊ปก็ก้มลงกราบที่ตักฉันพร้อมพูดว่า “ลูกก็เป็นลูกชายของพ่อปู่เสมอมาและตลอดไปครับ”

พุทธะอิสระ