เทศกาลถือศีลกินผัก เพื่อสุขภาพจิต สุขภาพกาย มาถึงอีกแล้ว

0
127

วันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๙ ตามปฏิทินจีน ซึ่งตรงกับวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๙

เป็นวันแรม ๑๕ ค้ำ เดือน ๑๐ ตามปฏิทินไทย ซึ่งเป็นวันพระใหญ่
เทศกาลถือศีลกินผักจะเริ่มตั้งแต่วันที่ ๑ ตุ.ค. จนถึงวันที ๙ ตุ.ต. เป็นเวลา ๙ วัน ๙ คืน

แต่หากจะนับรวมวันเตรียมการที่เรียกว่าล้างท้องอีก ๑ วัน จึงกลายเป็น ๑๐ วัน

การถือศีลกินผัก นอกจากจะถือศีล ๕ จนถึงศีล ๘ แล้ว ตามแต่กำลังศรัทธา

– ยังต้องเว้นจากการกินเนื้อสัตว์

– โดยเจตนาในการไม่เบียดเบียนชีวิตสัตว์ให้ต้องตาย

– แล้วหมั่นเจริญเมตตา

– และเพื่อสุขภาพ ทำให้ร่างกายภายในสะอาดขึ้น

ส่วนเรื่องความแข็งแรงของร่างกายนั้น คงไม่ได้มาจากการกินผักอย่างเดียวได้ดอก

เหตุก็เพราะร่างกายมนุษย์ไม่ใช่ต้องการแค่สารอาหารที่อยู่ในผักอย่างเดียว

แต่ร่างกายนี้ยังต้องการโปรตีน วิตามิน เกลือแร่ และธาตุสารอาหารต่างๆ ที่จำเป็นต่ออวัยวะน้อยใหญ่ของร่างกายนี้ ต้องการเพื่อความอยู่รอด

และนี่ก็เป็นหนึ่งในหลายเหตุผลที่พระผู้มีพระภาคเจ้ามิได้ทรงอนุญาตตามคำขอของพระเทวทัต ดังมีเรื่องที่ปรากฏในคัมภีร์
————————————————-
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑ พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๑ มหาวิภังค์ ภาค ๑
สังฆาทิเสส สิกขาบทที่ ๑๐ เรื่องพระเทวทัตต์เป็นต้นเหตุ

[๕๙๐] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเวฬุวันวิหาร อันเป็นสถานที่พระราชทานเหยื่อแก่กระแต เขตพระนครราชคฤห์

ครั้งนั้นพระเทวทัตต์เข้าไปหาพระโกกาลิกะ พระกฏโมรกติสสกะ พระขัณฑเทวีบุตร และพระสมุทททัตต์

ครั้นแล้วได้กล่าวคำนี้ กะพระโกกาลิกะ พระกฏโมรกติสสกะ พระขัณฑเทวีบุตร และพระสมุทททัตต์ว่า

มาเถิด อาวุโสทั้งหลาย พวกเราจักกระทำสังฆเภท จักรเภท ให้เกิดขึ้นแก่พระสมณโคดม

เมื่อพระเทวทัตต์ กล่าวอย่างนี้แล้ว พระโกกาลิกะได้กล่าวคำนี้กะพระเทวทัตต์ว่า

อาวุโส พระสมณโคดมมีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมาก ไฉน เราจักทำ สังฆเภท จักรเภท ให้เกิดขึ้นแก่พระสมณโคดมได้สำเร็จได้เล่า

วัตถุ ๕ ประการ

พระเทวทัตต์ชักชวนภิกษุผู้เป็นบริวารของตนด้วยการ กล่าวว่า มาเถิด อาวุโสทั้งหลาย พวกเราจักไปเข้าเฝ้าพระสมณโคดม เพื่อทูลขอวัตถุ ๕ ประการว่า

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระผู้มีพระภาคทรงสรรเสริญคุณแห่งความมักน้อย ความสันโดษ ความขัดเกลา ความกำจัด และตั้งตนในอาการที่น่าเลื่อมใส การไม่สะสม การปรารภความเพียร โดยอเนกปริยาย

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ วัตถุ ๕ ประการนี้ เป็นไปเพื่อความมักน้อย ความสันโดษ ความขัดเกลา ความกำจัด ตั้งตนไว้ในอาการที่น่าเลื่อมใส การไม่สะสม การปรารภความเพียร โดยอเนกปริยาย

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระพุทธเจ้าขอประทานพระวโรกาสให้พระองค์ทรงอนุญาตข้อปฏิบัติ ๕ อย่างดังนี้

๑. ภิกษุทั้งหลายควรอยู่ป่าตลอดชีวิต ภิกษุใดเข้าสู่เขตชานบ้าน เป็นผู้อาศัยบ้านอยู่ โทษพึงบังเกิดแก่ภิกษุนั้น

๒. ภิกษุทั้งหลายควรเที่ยวบิณฑบาตตลอดชีวิต ภิกษุใดยินดีในการรับกิจนิมนต์ โทษพึงบังเกิดแก่ภิกษุนั้น

๓. ภิกษุทั้งหลายควรถือผ้าบังสุกุลตลอดชีวิต ภิกษุใดยินดีต่อการรับผ้าของคหบดี โทษพึงบังเกิดแก่ภิกษุนั้น

๔. ภิกษุทั้งหลายควรอยู่โคนไม้ตลอดชีวิต ภิกษุใดเข้าอาศัยที่มุงบัง โทษพึงบังเกิดแก่ภิกษุนั้น

๕. ภิกษุทั้งหลายไม่ควรฉันปลาและเนื้อตลอดชีวิต ภิกษุใดฉันปลาและเนื้อ โทษพึงบังเกิดแก่ภิกษุนั้น

หากพระสมณโคดมจักไม่ทรงอนุญาตวัตถุ ๕ ประการนี้

พวกเราทั้งหลายนั้นจักเที่ยวไปโฆษณาให้ชุมชนเชื่อถือยอมรับใน วัตถุ ๕ ประการนี้

อาวุโสทั้งหลาย พวกเราสามารถที่จะกระทำสังฆเภท จักรเภท ให้เกิดขึ้นแก่พระสมณโคดมได้ เพราะเหตุแห่งวัตถุ ๕ ประการนี้แล
เพราะคนทั้งหลายย่อมชมชอบเลื่อมใสในวัตรปฏิบัติอันเคร่งครัดของพวกเรา

เมื่อพระเทวทัตและภิกษุบริวารทั้ง ๕๐๐ ตกลงกันเช่นนั้นแล้ว
จึงเดินทางเข้าไปเฝ้าองค์พระผู้มีพระภาคเจ้า

[๕๙๑] ครั้งนั้น พระเทวทัตต์พร้อมด้วยภิกษุบริษัททั้ง ๕๐๐ ออกเดินทางเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ

ครั้นแล้วถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาค นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้ว
พร้อมได้กราบทูลคำนี้แด่พระผู้มีพระภาคว่า

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระองค์ทรงสรรเสริญคุณแห่งความมักน้อย ความสันโดษ ความขัดเกลา ความกำจัด และความตั้งตนในอาการที่น่าเลื่อมใส การไม่สะสม การปรารภความเพียร โดยอเนกปริยาย

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ วัตถุ ๕ ประการนี้ที่พวกข้าพระองค์คิดขึ้นมานี้ ก็เป็นไปเพื่อความมักน้อย ความสันโดษความขัดเกลา ความกำจัด และความตั้งตนในอาการที่น่าเลื่อมใส การไม่สะสม การปรารภความเพียร โดยอเนกปริยาย

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระพุทธเจ้าขอประทานพระวโรกาสให้พระองค์ทรงอนุญาตข้อปฏิบัติ ๕ อย่างดังนี้

๑. ภิกษุทั้งหลายควรอยู่ป่าตลอดชีวิต ภิกษุใดเข้าสู่เขตชานบ้าน เป็นผู้อาศัยบ้านอยู่ โทษพึงบังเกิดแก่ภิกษุนั้น

๒. ภิกษุทั้งหลายควรเที่ยวบิณฑบาตตลอดชีวิต ภิกษุใดยินดีในการรับกิจนิมนต์ โทษพึงบังเกิดแก่ภิกษุนั้น

๓. ภิกษุทั้งหลายควรถือผ้าบังสุกุลตลอดชีวิต ภิกษุใดยินดีต่อการรับผ้าของคหบดี โทษพึงบังเกิดแก่ภิกษุนั้น

๔. ภิกษุทั้งหลายควรอยู่โคนไม้ตลอดชีวิต ภิกษุใดเข้าอาศัยที่มุงบัง โทษพึงบังเกิดแก่ภิกษุนั้น

๕. ภิกษุทั้งหลายไม่ควรฉันปลาและเนื้อตลอดชีวิต ภิกษุใดฉันปลาและเนื้อ โทษพึงบังเกิดแก่ภิกษุนั้น

พระผู้มีพระภาคทรงตรัสห้ามว่า อย่าเลย เทวทัตต์

ภิกษุใดปรารถนา จะอยู่ป่าก็จงอยู่ป่าเถิด

ภิกษุใดปรารถนา อยู่อาวาสที่ตั้งอยู่ในละแวกบ้าน ก็จงอยู่เถิด

ภิกษุใดปรารถนา ที่จะเที่ยวบิณฑบาต ก็จงเที่ยวบิณฑบาตเถิด

ภิกษุใดปรารถนา รับกิจนิมนต์ ก็จงยินดีการนิมนต์เถิด

ภิกษุใดปรารถนา ถือผ้าบังสุกุล ก็จงถือผ้าบังสุกุลเถิด

ภิกษุใดปรารถนา ที่จะรับผ้าจากคหบดีจีวร ก็จงยินดีผ้าของคหบดีนั้นเถิด

ดูกรเทวทัตต์ เราอนุญาตรุกขมูลเสนาสนะคือการถืออยู่ป่าตลอด ๘ เดือนเท่านั้น

เราอนุญาตปลาและเนื้อที่บริสุทธิ์ด้วยอาการ ๓ อย่าง คือ

๑. ไม่ได้เห็น ๒. ไม่ได้ยิน ๓. ไม่ได้รังเกียจ

ภิกษุผู้รับอาหารบิณฑบาตแม้จะเป็นเนื้อสัตว์ ถ้าไม่ได้เห็นเขาฆ่ามาเพื่อตน ไม่ได้ยินเขาพูดกันว่าจะฆ่าสัตว์นั้นมาเพื่อภิกษุ และภิกษุนั้นไม่มีข้อสงสัยในอาหารที่มีเนื้อสัตว์ที่ชาวบ้านเขาถวาย

ภิกษุนั้นพึงฉันภัตตาหารที่ปรุงด้วยเนื้อสัตว์นั้นได้ โดยไม่มีโทษได้
เราตถาคตห้ามเสียซึ่งเนื้อ ๑๐ ชนิด ได้แก่ เนื้อมนุษย์ เนื้อช้าง เนื้อม้า เนื้อสุนัข เนื้องู เนื้อราชสีห์ เนื้อเสือโคร่ง เนื้อเสือเหลือง เนื้อหมี และเนื้อเสือดาว

ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้อยู่ได้ด้วยชาวบ้านเขาให้ หากเราไปกำหนดการเลี้ยงชีพให้ยุ่งยาก จักทำให้ภิกษุทั้งหลาย มีชีวิตที่ฝืดเคืองอัตคัด และพรหมจรรย์ในพระธรรมวินัยนี้จะตั้งมั่นอยู่ได้อย่างไร

เมื่อองค์พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงปฏิเสธข้อเรียกร้องของพระเทวทัตดังนี้

[๕๙๒] ครั้งนั้น พระเทวทัตต์ร่าเริงยินดีเป็นอย่างยิ่งว่า พระผู้มีพระภาคไม่ทรงอนุญาตวัตถุ ๕ ประการนี้ แล้วพร้อมด้วยภิกษุบริษัททั้ง ๕๐๐ ลุกจากอาสนะ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาค กระทำประทักษิณหลีกไป

ต่อมา พระเทวทัตพร้อมด้วยภิกษุบริษัทเข้าไปสู่กรุงราชคฤห์ เที่ยวโฆษณาให้ประชาชนเชื่อถือในวัตถุ ๕ ประการว่า

อาวุโสทั้งหลาย เราเข้าเฝ้าพระสมณโคดมทูลขอวัตถุ ๕ ประการว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ วัตถุ ๕ ประการนี้ เป็นไปเพื่อความมักน้อย ความสันโดษ ความขัดเกลา ความกำจัด และความตั้งตนในอาการที่น่าเลื่อมใส การไม่สะสม การปรารภความเพียร โดยอเนกปริยาย
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระพุทธเจ้าขอประทานพระวโรกาส พระองค์ทรงอนุญาตข้อปฏิบัติ ๕ อย่างดังนี้

พระสมณโคดมไม่ทรงอนุญาตวัตถุ ๕ ประการนี้ มีแต่พวกเราเท่านั้น สมาทานประพฤติวัตถุ ๕ ประการนี้อยู่

แล้วพระเทวทัตกับพวกก็โพนทะนาอวดอ้างข้อปฏิบัติ ๕ ข้อของพวกตนแก่ชาวบ้าน เพื่อสร้างความรังเกียจต่อพระสมณโคดม และหันมาศรัทธาพวกตน

[๕๙๓] บรรดาประชาชนชาวพระนครราชคฤห์นั้น พวกที่ไม่มีศรัทธา ไม่เลื่อมใสมีความรู้ทราม พากันกล่าวว่า

พระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรเหล่านี้แล เป็นผู้กำจัด มีความประพฤติขัดเกลา

ส่วนพระสมณโคดม เป็นผู้มีความมักมาก ดำริเพื่อความมักมาก
ส่วนประชาชนจำพวกที่มีศรัทธาเลื่อมใสเป็นบัณฑิต มีความรู้สูง ต่างพากันเพ่งโทษติเตียน โพนทะนาว่า

ไฉน พระเทวทัตต์จึงได้ตะเกียกตะกายเพื่อทำลายสงฆ์ เพื่อทำลายข้อห้ามในพุทธจักร ของพระผู้มีพระภาคเล่า

ภิกษุทั้งหลายได้ยินประชาชนเหล่านั้นเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาอยู่ทั้งสองฝ่าย

บรรดาภิกษุที่เป็นผู้มักน้อย สันโดษ มีความละอาย มีความรังเกียจ ผู้ใคร่ต่อสิกขา ต่างพากันเพ่งโทษ ติเตียนโพนทะนาว่า

ไฉน พระเทวทัตต์จึงได้ตะเกียกตะกาย เพื่อทำลายสงฆ์ เพื่อทำลายข้อห้ามในพุทธจักรเล่า แล้วกราบทูลเนื้อความนั้นแด่พระผู้มีพระภาค

ประชุมสงฆ์ทรงบัญญัติสิกขาบท

ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งให้เรียกประชุมภิกษุสงฆ์ ด้วยเพราะเหตุนี้เป็นเค้ามูลนั้น แล้วทรงสอบถามพระเทวทัตต์ว่า

ดูกรเทวทัตต์ ข่าวว่า เธอตะเกียกตะกาย เพื่อทำลายสงฆ์ เพื่อทำลายข้อห้ามในพุทธจักร จริงหรือ?

พระเทวทัตต์ทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า

พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรโมฆบุรุษ การกระทำของเธอนั่น ไม่เหมาะ

ไม่สม ไม่ควร ไม่ใช่กิจของสมณะ ใช้ไม่ได้ ไม่ควรทำ

ดูกรโมฆบุรุษ ไฉน เธอจึงได้ตะเกียกตะกาย เพื่อทำลายสงฆ์ เพื่อทำลายข้อห้ามในพุทธจักรเล่า

ดูกรโมฆบุรุษ การกระทำของเธอนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส

หรือเพื่อความเสื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว โดยแท้

การกระทำของเธอนั่นเป็นไปเพื่อความไม่เลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส

และเพื่อความเป็นอย่างอื่น ของชนบางพวกที่เลื่อมใสแล้ว

ครั้นพระผู้มีพระภาคทรงติเตียนพระเทวทัตต์ โดยอเนกปริยายดังนี้แล้ว

ตรัสโทษแห่งความเป็นคนเลี้ยงยาก ความเป็นคนบำรุงยาก ความเป็นคนมักมาก ความเป็นคนไม่สันโดษ ความคลุกคลี ความเกียจคร้าน

ตรัสคุณแห่งความเป็นคนเลี้ยงง่าย ความเป็นคนบำรุงง่าย ความมักน้อย ความสันโดษ ความขัดเกลา ความกำจัด อาการที่น่าเลื่อมใส การไม่สะสม การปรารภความเพียร โดยอเนกปริยาย

แล้วทรงกระทำธรรมีกถา ที่สมควรแก่เหตุนั้นให้ปรากฎแก่ภิกษุทั้งหลาย แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า

ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นแล เราจักบัญญัติสิกขาบทแก่ภิกษุทั้งหลาย อาศัยอำนาจประโยชน์ ๑๐ ประการ คือ

เพื่อความรับว่าดีแห่งสงฆ์ ๑
เพื่อความสำราญแห่งสงฆ์ ๑
เพื่อข่มบุคคลผู้เก้อยาก ๑
เพื่ออยู่สำราญแห่งภิกษุผู้มีศีลเป็นที่รัก ๑
เพื่อป้องกันอาสวะอันจะบังเกิดในปัจจุบัน ๑
เพื่อกำจัดอาสวะอันจักบังเกิดในอนาคต ๑
เพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส ๑
เพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว ๑
เพื่อความตั้งมั่นแห่งพระสัทธรรม ๑
เพื่อถือตามพระวินัย ๑

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:-

พระบัญญัติ

๑๔. ๑๐. อนึ่ง ภิกษุใด ตะเกียกตะกายเพื่อทำลายสงฆ์ผู้พร้อมเพรียงหรือ

ถือเอาอธิกรณ์อันเป็นเหตุแตกกัน ยกย่องยันอยู่

ภิกษุนั้น อันภิกษุทั้งหลายพึงว่ากล่าวอย่างนี้ว่า ท่านอย่าได้ตะเกียกตะกายเพื่อทำลายสงฆ์ผู้พร้อมเพรียง หรืออย่าได้ถือเอาอธิกรณ์อันเป็นเหตุแตกกันยกย่องยันอยู่เลย

ขอท่านจงพร้อมเพรียงด้วยสงฆ์ เพราะว่าสงฆ์ผู้พร้อมเพรียงกัน ปรองดองกัน ไม่วิวาทกัน มีอุเทศเดียวกันย่อมอยู่ผาสุก

แลภิกษุนั้น อันภิกษุทั้งหลายว่ากล่าวอยู่อย่างนี้ ก็ยังไม่เปลี่ยนแปลงพฤติกรรม ยังยกย่องอยู่อย่างนั้นเทียว

ภิกษุนั้น อันภิกษุทั้งหลาย พึงสวดสมนุภาสน์กว่าจะครบสามจบ เพื่อให้สละกรรมนั้นเสีย

หากเธอถูกสวดสมนุภาสน์กว่าจะครบสามจบอยู่ สละกรรมนั้นเสีย สละได้อย่างนี้ นั่นเป็น

การดี หากเธอไม่สละเสีย เป็นสังฆาทิเสส.

เรื่องพระเทวทัตต์ จบ.
————————————————-

สรุปหลักคิดที่จะเรียกร้องให้พระสงฆ์กินผัก ห้ามกินเนื้อสัตว์ทุกชนิด เกิดขึ้นจากความคิดของพระเทวทัตกับพวก เพียงเพื่อความมักมาก อยากได้ลาภสักการะและมักใหญ่ใฝ่สูง ต้องการจะแข่งดีกับพระพุทธเจ้า

และมูลเหตุสำคัญที่พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ทรงอนุญาต เพราะทรงเห็นว่าจะเป็นการเพิ่มภาระให้พระสงฆ์และชาวบ้าน ในเวลาที่พระสงฆ์จาริกไปในเมืองหรือบ้านที่หาผักกินไม่ได้ ชาวบ้านเขากินแต่เนื้อสัตว์ พระภิกษุจะอยู่ได้อย่างไร

จึงทรงให้เป็นไปตามธรรมชาติ ชาวบ้านเขาถวายอะไรที่พอขบฉันได้ก็ฉันเถิด อย่าไปเลือกเรื่องมาก ทำตนให้เป็นคนเลี้ยงง่าย เพื่อดำรงพรหมจรรย์ให้มีอายุยืนนาน

อีกทั้งการกินหาได้ทำให้ใครบริสุทธิ์หรือไม่บริสุทธิ์ ความบริสุทธิ์ขึ้นอยู่กับใจและการปฏิบัติตะหาก

เช่นนี้แหละ เทศกาลกินผักจึงต้องมีการถือศีล เจริญภาวนา แผ่เมตตา เข้าไปด้วยช่วยเสริมกันและกัน

พุทธะอิสระ