จับตาเกมเอาคืนพรรคเพื่อไทย หลังเผชิญแรงกดดันหนัก

0
87

ในขณะที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรมต.กำลังอ่วมกับคดีความที่รุมกระหน่ำตัวถึง 15 คดี พร้อมกับต้องเจอกรณีชดใช้ค่าเสียหายในโครงการรับจำนำข้าวอีกเป็นเงินกว่า 3 หมื่น 5 พันล้านบาท บวกกับบรรดาคนในพรรคเพื่อไทย และแกนนำนปช.ต่างก็อยู่ในอาการไม่ผิดแผก แตกต่างไปจากกัน คือล้วนแล้วแต่มีคดีติดตัวจนลำบากที่จะกระดิกตัวเคลื่อนไหวอะไรได้ในช่วงนี้

แต่อีกด้านหนึ่ง คือรัฐบาลไม่ใช่ว่าจะสบายตัวเท่าไหร่นัก เพราะก็ต้องเจอกับเรื่องร้องเรียน และการแฉกลับแบบอาการน่าเป็นห่วงเช่นกัน และแถมข่าวที่กำลังโดนแฉรายวันก็ไม่มีทีท่าว่าจะจบลงง่ายๆ เสียด้วย กับกรณีภรรยา และลูกชายของพล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา น้องชายนายกรมต.พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เรียกว่าถูกถามเรื่องนี้เมื่อไหร่ นายกรมต.เป็นออกอาการฉุนทุกครั้งไปว่า ผมไม่ได้ไปยุ่งอะไรกับเค้า ถึงจะเป็นน้องก็คนละคนกันต้องไปถามกระทรวงกลาโหมและปปช.ที่ดำเนินการสอบสวนเรื่องนี้อยู่

ส่วนอีกคนที่กำลังเจอการตรวจสอบ คือรมว.พาณิชย์ นางอภิรดี ตันตราภรณ์ ที่โดน นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ทีมกฎหมายของพรรคเพื่อไทยไปยื่นเรื่องให้สตง.ตรวจสอบทรัพย์สินของนางอภิรดี ว่ามีการเสียภาษีถูกต้องหรือไม่ เพราะไปพบว่านางอภิรดี ได้รับทรัพย์สินเป็นเครื่องประดับหลายรายการที่ระบุว่าเป็นของขวัญจากพี่ และมีรายได้ต่อปีหลายล้านบาท แต่ในบัญชีแจ้งต่อคณะกรรมการปปช.ไม่มีการแจ้งรายได้ จึงขอให้ตรวจสอบ และงานนี้เหมือนเป็นการเอาคืนนางอภิรดี เพราะเธอก็คือคนที่เซ็นต์รับรองสรุปเรียกค่าเสียหายโครงการรับจำนำข้าวในกรณีจีทูจีกับ นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ และคณะนั่นเอง

เรียกว่ามาถึงวันนี้ สถานการณ์ทางการเมืองกำลังเดินไปสู่จุดของการเปิดหน้าชน สู้กันแบบไม่ถอย คือต่อให้รัฐบาล และคสช.จะมีแต้มต่อฝ่ายตรงข้าม กับเสถียรภาพและความมั่นคง รวมไปถึงความไว้วางใจของประชาชนที่มอบให้ก็ตาม แต่ก็อย่าได้ชะล่าใจว่าเรื่องแฉๆ หรือ กระบวนการตรวจสอบเอาคืนจะจบแค่เพียงเท่านี้ รับประกันงานนี้ยังมีตามมาอีกชุดใหญ่แน่

https://deeps.tnews.co.th/contents/206272/
—————————————————–
พุทธะอิสระ:

จากบทความของสำนักข่าวทีนิวส์นี้ หลายคนอาจจะมีความวิตกกังวล และคิดว่ารัฐบาลคสช.และคุณประยุทธ์ กำลังถูกคนเสื้อแดงโดยแกนนำและพรรคเพื่อไทย บริวารนายทักษิณ รวมทั้งพวกที่ไม่ชอบคสช.ออกมาดาหน้ารุมทึ้ง รุมกระทืบ พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา พร้อมนางผ่องพรรณ จันทร์โอชา และลูกชาย

ในกรณีแต่งตั้งลูกชายคนเล็กที่จบปริญญาตรีให้เข้าไปเป็นทหาร และกรณีลูกชายคนโต ใช้บ้านพักทหารก่อตั้งบริษัทรับเหมา ทั้งยังชนะการประมูลงานก่อสร้างของกองทัพภาคที่ ๓ หลายโครงการ
และด้วยพฤติกรรมส่วนตัวของนางผ่องพรรณ เมียของพล.อ.ปรีชาเอง ก็ทำตัวเว่อร์ขัดตาสังคมในสถานการณ์บ้านเมืองที่กำลังเปลี่ยนผ่าน ไม่เหมาะสมกับสถานะภรรยาของปลัดกระทรวงกลาโหม ซึ่งแม้จะดูเหมือนไม่เกี่ยวกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้ารัฐบาลเลยก็ตามที

แต่ก็คงปฏิเสธความรับรู้ ความรับผิดชอบไม่ได้ ในฐานะที่เป็นหัวหน้ารัฐบาล แล้วมีญาติไปกระทำการใดที่ไม่ชอบด้วยประมวลจริยธรรมของข้าราชการและนักการเมือง เพราะสังคมอาจมองว่าไม่โปร่งใส มีผลประโยชน์ทับซ้อน ส่วนจะผิดจะถูกกฎหมาย หรือไม่ก็ไปว่าตามกระบวนการสอบสวนกันอีกพักหนึ่งจึงจะรู้ผล

แต่ไม่ว่าอย่างไร เหตุการณ์เหล่านี้กลับกลายเป็นอาหารปากของบรรดาคนที่เกลียดคสช.ไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะพวกเขาคิดว่านี่คือจุดอ่อนของรัฐบาลคสช.

ไม่เว้นแม้แต่กองเชียร์ของรัฐบาลคสช. ต่างรู้สึกสะเทือนใจ ฉงนใจ และห่วงใยว่าจะสะเทือนต่อภาพลักษณ์ของท่านผู้นำที่พวกเขาฝากความหวัง ฝากอนาคตเอาไว้

ยิ่งกรณีท่านนายกประกาศใช้ ม.๔๔ ให้อำนาจเจ้าหน้าที่ดำเนินการเช็คบิวคดีทุจริตจำนำข้าวและคดีทุจริตอื่นๆ ที่หมักหมมสะสมมานานนับเป็นพันคดี

เลยทำให้คนพวกนี้ไปรวมกลุ่มกันตั้งวอร์รูมออกมาตอบโต้ ถึงกับประกาศว่าจะทำการขุดคุ้นหาเรื่องไม่ดีของรัฐบาลคสช.ออกมาแฉให้รัฐบาลเสียหาย เพื่อทำลายความสง่างามของตัวท่านผู้นำและรัฐบาลคสช.

หากจะมองกันอย่างคนที่ทุ่มเทกายใจ ศรัทธา เชียร์ท่านผู้นำและรัฐบาลคสช. ก็ย่อมรู้สึกไม่ดี ไม่พอใจ และอาจจะโวยวายโต้ตอบจนถึงกับไม่ยอมรับฟังรับรู้ในข้อมูลเรื่องราวที่พวกไม่เอาคสช.ออกมาโพนทะนา

แต่ถ้าจะมองด้วยสติปัญญา ด้วยมุ่งหวังประโยชน์ของชาติประชาเป็นที่ตั้ง ก็จะเห็นว่านับเป็นเรื่องที่ดีต่อการที่ได้มีโอกาสรับฟังข้อมูลให้รอบด้าน แล้วใช้สติปัญญาใคร่ครวญ กลั่นกรองอย่างถี่ถ้วน ว่าข้อมูลที่พวกไม่ชอบรัฐบาลคสช.นั้นนำมาแฉ เท็จหรือจริงอย่างไร
หากเป็นข้อมูลจริง พวกเราจักได้รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น จักได้นำเรื่องนี้ไปขยายผลให้ท่านนายกและรัฐบาลคสช.ตรวจสอบ ถือว่าเป็นการถ่วงดุลการทำงานของข้าราชการและคนของรัฐบาลคสช.ไปด้วยในตัว

แต่ถ้าหากมันไม่จริง ก็รวบรวมหลักฐานการโพนทะนาข้อมูลเท็จเหล่านั้น ไปร้องเรียนร้องทุกข์แก่หน่วยงานของรัฐหรือ หรือบุคคลที่เขาเสียหายให้ทำการแจ้งความร้องทุกข์เอาผิดกับผู้ที่โพนทะนาเผยแพร่ข้อมูลเท็จจนเป็นเหตุให้ผู้อื่นเสียหาย

พุทธะอิสระเคยบอกแล้วไงว่า ถ้าจะสู้กับคนพวกนี้ต้องใช้สัจจะความจริงเท่านั้นจึงจะชนะ

สมดังพุทธภาษิตที่ว่า

“สัจจัง เว อะมะตา วาจา
คำสัตย์นั้นแล เป็นวาจาที่ไม่ตาย”