คม ชัด ลึก 22 กันยายน 2559
นายกฯ หารือสภาธุรกิจฯ ย้ำมั่นใจไทยคืนสู่ปชต.
นายกฯ หารือร่วมกับสภาธุรกิจเพื่อความเข้าใจระหว่างประเทศ ย้ำให้มั่นใจ ไทยมีรูปแบบคืนสู่ปชต.อย่างชัดเจน
22 ก.ย.59 — เมื่อเวลา 18.00 น.ตามเวลาท้องถิ่นของสหรัฐอเมริกา ที่โรงแรม Plaza Athenee นครนิวยอร์ก
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ร่วมหารือกับสภาธุรกิจเพื่อความเข้าใจระหว่างประเทศ (Business Council for International Understanding) ในโอกาสเข้าร่วมการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยสามัญ ครั้งที่ 71 โดยมีเอกชนชั้นนำของสหรัฐ ฯ เข้าร่วมหารือด้วย อาทิ กลุ่มการเงิน กลุ่มอิเลคทรอนิกส์ กลุ่มโทรคมนาคมและการสื่อสาร อุตสาหกรรมค้าปลีก เป็นต้น
พล.ต.วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงความสัมพันธ์อันดีระหว่างไทยและสหรัฐ ฯ ที่มีมายาวนาน พร้อมขอบคุณสภาธุรกิจเพื่อความเข้าใจระหว่างประเทศที่ให้ความสนใจเกี่ยวกับการประกอบธุรกิจและขยายการลงทุนในไทย ซึ่งสะท้อนให้ว่าภาคเอกชนในสหรัฐฯยังให้ความเชื่อมั่นในศักยภาพและโอกาสทางเศรษฐกิจของไทย ไทยมีความสำคัญต่อภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในฐานะเศรษฐกิจที่ก้าวหน้าและใหญ่เป็นอันดับสองของอาเซียน โดยที่ตั้งทางภูมิศาสตร์และระดับการพัฒนาเศรษฐกิจ ทำให้ไทยยังเป็นจุดเชื่อมต่อสำคัญ (connectivity hub) ในทุกทางทั้งต่ออนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขงไปจนถึงจีนตอนใต้ และต่ออาเซียนโดยรวม ซึ่งภาคเอกชนสหรัฐ ฯ สามารถใช้จุดแข็งของประเทศไทย ให้เกิดประโยชน์ทั้งต่อธุรกิจและต่อภูมิภาคได้อย่างเต็มศักยภาพ
พล.ต.วีรชน กล่าวว่า นายกรัฐมนตรียังระบุว่า รัฐบาลได้ผลักดันการลงทุนจำนวนมหาศาลเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อพัฒนาความเชื่อมโยง อาทิ การปรับปรุงท่าเรือและสนามบินในประเทศ การปรับปรุงถนนและการสร้างทางรถไฟความเร็วสูงเพื่อเชื่อมต่อกับประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ลาว กัมพูชา เมียนมาร์ ไปจนถึงจีนตอนใต้ ทั้งการพัฒนาท่าเรือน้ำลึกที่ทวาย ทั้งการพัฒนาทางรถไฟความเร็วสูง การวางเครือข่ายดิจิตัล และการปรับปรุงท่าอากาศยานและท่าเรือในประเทศทั้งท่าเรือสัตหีบ แหลมฉบัง และมาบตาพุด เพื่อผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางท่าเรือของภูมิภาค ในส่วนของเศรษฐกิจไทยนั้น ไทยสนับสนุนแนวทางการค้าเสรีและการลงทุนจากต่างประเทศมาโดยตลอด และมุ่งปฏิรูปนโยบายเศรษฐกิจในด้านต่างๆที่เป็นปัจจัยเกื้อหนุนการประกอบธุรกิจ เช่น การปฏิรูประบบภาษีอากรและศุลกากรให้โปร่งใสและทันสมัยขึ้น การปรับปรุงมาตรการจูงใจการลงทุน การปรับปรุงระบบขนส่งมวลชนในเมืองและระบบโลจิสติกส์ การขยายเครือข่ายโทรคมนาคมและยกระดับโครงสร้างพื้นฐานเครือข่ายดิจิตัล ทั้งหมดนี้ก็เพื่อเอื้ออำนวยให้การประกอบธุรกิจของนักลงทุนทั้งในประเทศและจากต่างประเทศให้สะดวกขึ้น (ease of doing business) รัฐบาลมีจุดมุ่งหมายสำคัญที่จะยกระดับประเทศไทยให้หลุดออกจากกับดักของประเทศที่มีรายได้ปานกลาง โดยได้กำหนดอุตสาหกรรมที่ไทยดำเนินการได้ดีอยู่แล้ว 5 สาขาเพื่อใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมพัฒนาเป็นเข้มข้นยิ่งขึ้น (deepen) ได้แก่
(1) อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่
(2) อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ
(3) อุตสาหกรรมท่องเที่ยวและการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ
(4) เกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ
(5) การแปรรูปอาหาร
ในขณะเดียวกัน รัฐบาลได้กำหนดอุตสาหกรรมใหม่ที่รู้จักกันในนาม New S-Curve อีก 5 สาขาเพื่อต่อยอดเชื่อมโยงจากอุตสาหกรรมเดิมดังกล่าว ได้แก่
(1) อุตสาหกรรมหุ่นยนต์
(2) อุตสาหกรรมการบินและโลจิสติกส์
(3) อุตสาหกรรมเชื้อเพลิงชีวภาพและเคมีชีวภาพ
(4) อุตสาหกรรมดิจิทัล และ
(5) อุตสาหกรรมการแพทย์ครบวงจร
และได้ปรับปรุงมาตรการจูงใจการลงทุนหลายประการทั้งสิทธิประโยชน์เพื่อการลงทุน มาตรการภาษี เป็นต้น นอกจากนี้รัฐบาลกำลังทำในส่วนที่เกี่ยวข้องกับ ความร่วมมือด้านการค้าและการลงทุนในระดับภูมิภาคทั้ง กรอบ PPP และ RCEP ด้วย
พล.ต.วีรชน กล่าวว่า นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวถึงพัฒนาการของประเทศไทยว่า กำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านที่สำคัญ มีการประกาศ Roadmap ของการคืนสู่ประชาธิปไตยนี้อย่างชัดเจน และได้ดำเนินการตาม Roadmap เป็นผลสำเร็จตามขั้นตอน โดยรัฐบาลมีความจริงจังและจริงใจที่จะปฏิรูปเศรษฐกิจและสังคมให้เกิดความก้าวหน้าอย่างยั่งยืนเพื่อให้กลับคืนสู่ประชาธิปไตยที่มั่นคงได้สมดุล ขณะที่ประธานบริหารสภาบีซีไอยูได้กล่าวขอบคุณนายกรัฐมนตรี พร้อมชื่นชมความเป็นผู้นำของนายกรัฐมนตรีซึ่งประเทศไทยมีเสถียรภาพ รวมทั้งการยกระดับเศรษฐกิจประเทศภายใต้โครงการ Thailand 4.0 ทำให้เพิ่มโอกาสและลู่ทางการค้าและการลงทุนในไทยและภูมิภาคด้วย ซึ่งธุรกิจของสหรัฐฯที่มีการลงทุนในไทยอยู่แล้ว กำลังพิจารณาขยายการค้าและการลงทุนอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ธุรกิจภาคบริการและค้าปลีกของสหรัฐ สนใจที่จะเข้ามาดำเนินธุรกิจในประเทศทั้งการลงทุนโดยตรงและการร่วมทุน โอกาสนี้ผู้บริหารระดับสูงของภาคเอกชนสหรัฐ ฯ ต่างๆ ได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นและแผนงานทางธุรกิจ อาทิ เจ้าหน้าที่ผู้บริหารระดับสูง บริษัท Goodyear Tire and Rubber ได้กล่าวว่าบริษัทฯได้ดำเนินธุรกิจในประเทศไทยมาอย่างยาวนานและมีแผนจะขยายการลงทุนในประเทศไทยโดยเฉพาะ การสร้างโรงงานผลิตยางล้อครื่องบิน เพื่อตอบสนองความต้องการของในอุตสาหกรรมการบินและการขนส่งที่จะเพิ่มมากยิ่งขึ้นในอนาคต ขณะที่รองประธาน บริษัท Walmart กล่าวว่า ไทยได้มีการส่งเสินค้าให้วอลมาร์ท และวอลมาร์ทกำลังพิจารณาขยายการนำเข้าสินค้าจากไทยเพิ่มเติม และเห็นว่ารัฐบาลไทยได้ดำเนินการแก้ไขปัญหาที่เกี่ยวเนื่องกับแรงงานและกระบวนการผลิตอาหารทะเลอย่างจริงจังอีกด้วย
https://www.komchadluek.net/news/politic/243405
————————————————-
ท่านนายกฉลาดและขยันแบบนี้ เดี๋ยวพวกเห็นต่างก๊อกแตกตายดอก
ทำไมไม่เห็นเหมือนอดีตนายกปูเลย ที่ไปเมืองนอกแต่ละทีมีแต่คนนินทา วิพากษ์วิจารณ์ไม่เว้นแม้แต่สื่อต่างชาติ
พุทธะอิสระ