วันจันทร์ที่ผ่านมา ศาลจังหวัดนครปฐมมีหมายนัดให้ฉันไปเจรจาไกล่เกลี่ย กรณีที่ฉันฟ้องร้องทนายประสิทธิ์ สันจิตร บริวารของลัทธิทำจนกลาย
ที่พยายามกล่าวหาใส่ร้ายให้ฉันต้องอาบัติปาราชิกในกรณีที่ศาลแพ่งรัชดาพิพากษาให้ฉันต้องชดใช้ค่าเสียหายที่กรมสอบสวนคดีพิเศษดีเอสไอฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายที่เขาต้องจ่ายเป็นค่าอาหารของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยและค่าเช่าติดตั้งระบบคอมพิวเตอร์แม่ข่าย ในช่วงเวลาที่พวกเขาไม่สามารถเขามาทำงานในตึกดีเอสไอ
วันแรกที่ฉันขึ้นศาลก็ได้แถลงต่อศาลว่ายินดีจะชดใช้ค่าเสียหายตามจริงที่เกิดจากการชุมนุม โดยจะไม่มีการอุทธรณ์ใดๆ
ต่อมาบรรดาแกนนำจากเวทีอื่นๆ ที่เป็นจำเลยร่วม ยังได้มาทักท้วงต่อฉันว่าทำไมหลวงปู่ถึงไม่อุทธรณ์ต่อสู้คดีให้ครบ ๓ ศาล
ฉันบอกกับพวกเขาว่า พวกคุณเป็นฆราวาส ย่อมใช้สิทธิอุทธรณ์ตามกฎหมายได้
แต่ฉันเป็นพระ รู้อยู่แก่ใจว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่ดีเอสไอและสถานที่ของรัฐคือ สนามหญ้า ต้นไม้ หากฉันไม่ไปชุมนุมที่หน้าอาคารดีเอสไอ
ความสูญเสียเหล่านี้ย่อมไม่เกิดขึ้น และเมื่อมันเกิดขึ้นแล้วจะให้ฉันไม่รับผิดชอบได้กระนั้นหรือ
อีกทั้งภิกษุในธรรมวินัยนี้มีปกติวิสัยที่จะละอายชั่วกลัวบาป และจะนิยมยอมรับกันและกันด้วยความบริสุทธิ์
หากฉันยังทำตัวไม่รับผิดชอบต่อสิ่งที่ตนกระทำ ก็เท่ากับฉันจะกลายเป็นคนหน้าด้านหนังหนาเกินไป
และอาจจะมีปัญหาด้านละเมิดพระวินัยตามมาอีกตะหาก
ด้วยเหตุผลเหล่านี้ พุทธะอิสระจึงได้แถลงต่อศาลในวันแรกที่ขึ้นศาลว่ายินดีชดใช้ค่าเสียหายตามเป็นจริงที่เกิดขึ้นจากการชุมนุมของฉัน และจะไม่อุทธรณ์ แต่เพราะฉันไม่มีเงินจึงขอความเมตตาต่อศาล ผ่อนเดือนละ ๕๕,๐๐๐ บาท รวมเป็นเงิน ๘๙๙,๒๐๓ บาท
พอมีการขับเคลื่อนจัดการกับอลัชชีเจ้าลัทธิทำจนกลาย พวกสาวกลัทธินี้ก็หาสารพัดวิธีมาเล่นงานฉัน เพื่อทำลายความน่าเชื่อถือ แต่จนแล้วจนรอดก็หาไม่ได้ เลยไปหยิบเอาคำพิพากษาของศาลแพ่งรัชดามากล่าวหาว่าฉันเป็นอาบัติปาราชิก โดยทนายประสิทธิ์ สันจิตร เริ่มตั้งแต่
– วันที่ ๖ มิถุนายน ๒๕๕๙ นายประสิทธิ์ สันจิตร ประธานเครือข่ายพิทักษ์พุทธ ยื่นหนังสือขอให้ดำเนินนิคหกรรมกับหลวงปู่ กล่าวอ้างว่า ต้องอาบัติปาราชิกขาดจากความเป็นพระ ปาราชิกสิกขาบทที่ ๒ เบียดเบียนลักเอาทรัพย์ผู้อื่น
– อ้างว่าตนเองไม่อยากเห็นพระสงฆ์ทำผิดพระวินัย (แต่มองไม่เห็นอลัชชีเจ้าลัทธิของตนทำผิดพระวินัย)
– ช่วงเช้าวันที่ ๖ มิถุนายน ๒๕๕๙ ได้ยื่นหนังสือต่อเจ้าคณะจังหวัดนครปฐม ถัดจากนั้นนำหนังสืออีกชุดไปยื่นที่เจ้าคณะใหญ่หนกลาง วัดพิชยญาติการาม
– ต่อมาวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๕๙ นายประสิทธิ์ สันจิตร กับพวกเดินทางมาที่วัดอ้อน้อยด้วยรถตู้จำนวน ๔ คัน เพื่อยื่นหนังสือร้องขอให้ดำเนินนิคหกรรมลวงปู่ กับเจ้าอาวาสวัดอ้อน้อย และได้แจกเอกสารข่าวประชาสัมพันธ์ มีข้อความยืนยันว่าหลวงปู่ต้ออาบัติปาราชิกกับนักข่าวและประชาชน
– ผลไม่พบเจ้าอาวาสวัดอ้อน้อย แต่ได้พบกันกับหลวงปู่
– หลังการพูดคุยกัน นายประสิทธิ์ สันจิตร มิได้ยื่นหนังสือไว้และนำกลับไป
– พร้อมทั้งนัดว่าจะเดินทางมายื่นหนังสือในวันรุ่งขึ้น พอถึงวันรุ่งขึ้นคณะสงฆ์ได้เรียกประชุมคณะสงฆ์ทั้งวัดพร้อมฉัน เพื่อพิจารณาเอกสารหลักฐานของนายประสิทธิ์ที่ได้นัดหมายเอาไว้ตามเวลาที่กำหนด
แต่พอถึงเวลาทนายประสิทธิ์ไม่ยอมมา แต่กลับออกคลิปวีดีโอแถลงว่าจะไม่เข้ามาที่วัดอ้อน้อย จะไปยื่นหนังสือร้องเรียนกับเจ้าคณะตำบลแทน
แล้วทนายประสิทธิ์ก็ไม่ยอมไปพบเจ้าคณะตำบลอีก
– คณะสงฆ์วัดอ้อน้อยเรียกให้นายประสิทธิ์ สันจิตรมาพบเพื่อสอบถามถึง ๓ ครั้ง ด้วยการโทรศัพท์ติดตามและส่งจดหมาย แต่นายประสิทธิ์ สันจิตร ไม่มาพบทั้ง ๓ ครั้ง
– จึงถือว่านายประสิทธิ์ สันจิตร ไม่ประสงค์ดำเนินนิคหกรรมกับหลวงปู่อีกต่อไป
ด้วยพฤติกรรมของทนายประสิทธิ์ สันจิตรเช่นนี้ จึงทำให้เชื่อได้ว่าทนายประสิทธิ์มีเจตนาเข้ามาก่อกวนสร้างความเดือดร้อนรำคาญและต้องการทำลายความน่าเชื่อถือแก่ฉันเท่านั้น หาได้มีหลักฐานใดๆ ที่จะเอาผิดพุทธะอิสระในข้อหาปาราชิกไม่
จึงสมควรที่จะถูกสั่งสอนให้หลาบจำ จะได้ไม่ใช้ความรู้ทางกฎหมายไปสร้างความเสียหายแก่ผู้อื่นที่ไม่รู้กฎหมายได้อีก
อีกทั้งวันที่ศาลมีหมายนัดไกล่เกลี่ยตัวทนายประสิทธิ์ก็ไม่ยอมมา ทั้งที่ฉันเดินทางไปรออยู่ที่ศาลแล้ว
คนอย่างนี้หากไม่เห็นประตูคุกคงจะไม่สำนึก เช่นนั้นก็ต้องรับไปทั้งแพ่งและอาญาก็แล้วกัน จะได้หลาบจำ
พุทธะอิสระ