เจ้าคุณประสารถามกลับบิ๊กตู่ ช่วยคุ้มครองศาสนาหรือควบคุม
วันพุธ ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2559, 09.46 น.
24 ส.ค. 59 พระเมธีธรรมาจารย์ หรือ เจ้าคุณประสาร จนฺทสาโร เลขาธิการศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก “พระเมธีธรรมาจารย์ – เจ้าคุณประสาร” วิเคราะห์คำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ 49/2559 เรื่อง มาตรการอุปถัมภ์และคุ้มครองศาสนาต่างๆ ในประเทศไทย โดยระบุว่า “ตามคำสั่งของนายกรัฐมนตรีดังกล่าวในเรื่องนี้ถ้ามองดูเพียงผิวเผินก็ดูจะเป็นเรื่องที่ดีที่ฝ่ายรัฐจะเข้ามาช่วยให้กิจการภายในระหว่างศาสนาทุกศาสนามีความสัมพันธ์ในทางที่ดีขึ้น
ในอีกแง่มุมหนึ่งระยะเวลากว่าหนึ่งปีที่ผ่านมาคณะกรรมการปฏิรูปแนวทางและมาตรการพิทักษ์ปกป้องพระพุทธศาสนา พยายามผลักดันแนวทางปฏิรูปกิจการพระพุทธศาสนามาโดยตลอดนั้น บัดนี้แนวทางทั้งหมดดังกล่าวทั้ง 4 ด้านนั้น ถูกผลักดันให้เขียนลงไปในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับที่ผ่าน ประชามติเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2559 ที่ผ่านมา ซึ่งปรากฎในมาตราที่ 67 เป็นการย่อยการปฏิรูปทั้ง 4 ด้านของคณะกรรมการปฏิรูปกิจการพระพุทธศาสนาทั้งหมดลงไว้ในรัฐธรรมนูญอย่างกระชับที่สุดและถือว่าเป็นความสำเร็จของคณะกรรมการปฏิรูปแนวทางและพิทักษ์พระพุทธศาสนา
ส่วนในข้อที่ 4 ในข้อเสนอแนะของคณะกรรมการปฏิรูปกิจการพระพุทธศาสนาในเรื่องของฝ่ายอาณาจักรต้องเข้ามาช่วยฝ่ายศาสนจักรนั้น มาปรากฎชัดเป็นรูปธรรม จับต้องสัมผัสได้ก็คือการใช้อำนาจของนายกรัฐมนตรีตามมาตราที่ 44 ในครั้งนี้
ต้องถามตรงๆ ว่าจะเข้ามาช่วยในการอุปถัมภ์คุ้มครอง หรือการทำความเข้าใจระหว่างศาสนา หรือว่าเจตนาของรัฐตรงกับเจตนาของคณะกรรมการปฏิรูปกิจการพระพุทธศาสนาในการเข้ามาควบคุมกิจการภายในของศาสนา
โดยเฉพาะคณะสงฆ์ในพระพุทธศาสนา เช่น การให้ประชาชนมีส่วนร่วม การมีมาตรการป้องกันและแก้ใข ทั้งหลายทั้งปวงนี้ดูจะสอดรับกันโดยบังเอิญเหลือเกิน รวมทั้งการให้องค์กรพุทธ โดยเฉพาะศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย ต้องรายงานกิจกรรม ประวัติและความเป็นมาเพื่อส่งให้หน่วยงานของรัฐโดยด่วน
ทั้งหลายทั้งปวงจะเป็นจุดเริ่มต้นแห่งความสำเร็จและความพยายามของคณะกรรมการปฏิรูปกิจการและมาตรการพิทักษ์ปกป้องพระพุทธศาสนา ในการยืมมืออำนาจรัฐเข้ามาจัดการกิจการภายในของศาสนาโดยมีเป้าหมายหลักอยู่ที่คณะสงฆ์ในพระพุทธศาสนาหรือไม่น่าสนใจยิ่ง
สำหรับในศาสนาอื่นนั้นคงไม่มีผลกระทบใดๆ เพราะรัฐไม่สามารถเข้าไปยุ่มย่ามภายในกิจการของเขาได้เหมือนในพระพุทธศาสนา
แต่ถ้าจะมองในเจตนาที่เป็นกุศลของฝ่ายรัฐ ทำไมศาสนาอื่นๆ (ที่พวกเราในฐานะนักบวชต่างศาสนากลับไม่มีความรู้สึกว่าขณะนี้มีปัญหาอะไรมากมายด้านศาสนา ถึงขนาดจะต้องออกคำสั่งในอำนาจพิเศษมากมายเพียงนี้) เมื่อมีการเรียกร้องใด ๆจากเพื่อนร่วมกันในอีก 4 ศาสนา ภาครัฐจะต้องสนองตอบในทันทีทันใดขนาดนั้นเชียวหรือ เพราะขณะนี้สังคมก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่าใครเป็นผู้ร้อง ร้องเรื่องอะไร สาระสำคัญปรากฏจริงตามคำร้องหรือไม่
แต่ที่แน่นอนที่สุดที่ปรากฎเห็นอย่างแจ่มชัดคือ มีเหตุอะไรที่เร่งด่วนด้านศาสนา จึงต้องสั่งการให้รายงานผลในทุก 3 เดือน อะไรจะเป็นเหตุเป็นผลให้ต้องเข้มข้นถึงขนาดนั้น อะไรคือสาเหตุที่แท้จริงช่วยตอบคำตอบให้กระจ่างที และขอถามต่อไปอีกว่าขณะนี้ภาครัฐมีความสงสัยหรือหวาดระแวงอะไรเป็นพิเศษในกลุ่มพี่น้องชาวพุทธหรือไม่ เพราะเวลานี้มีการสั่งการถึงขนาดว่าต้องให้องค์กรของชาวพุทธในบางองค์กรต้องรายงานอะไรต่อมิอะไรภายในองค์กรให้หน่วยงานของรัฐทราบโดยด่วน
ในเวลานี้ถ้าจะมองในอีกแง่มุมหนึ่งว่า รัฐพยายามสนองตอบในการอุปถัมภ์คุ้มครองศาสนาในทางที่ดีขึ้น ให้ความเป็นธรรมในทุกศาสนานั้น แล้วเหตุการณ์ที่พระสงฆ์ในพระพุทธศาสนาได้ลุกขึ้นมาเรียกร้องในหลายๆ เรื่อง หลายกรณีพร้อมกันทั่วประเทศนั้นจะตอบคำถามเหล่านี้ว่าอย่างไร เช่น ขอให้ออกกฎหมายนมัสการสังเวชนียสถาน 4 แห่ง กฎหมายธนาคารพระพุทธศาสนา กฎหมายอุปถัมภ์คุ้มครองพระพุทธศาสนา เป็นต้น หรือแม้แต่การเสนอนามสมเด็จพระราชาคณะเพื่อเสนอโปรดเกล้าฯ สถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่ เป็นเรื่องสำคัญ ก็ไม่เห็นมีท่าทีที่จะอ่อนน้อม ห่วงใย เอาใจใส่จากภาครัฐเหมือนในกรณีที่เร่งออกคำสั่งพิเศษนี้เลย ไม่เห็นเลยจริงๆ นอกจากท่าทีที่แข็งกร้าว ตาต่อตา ฟันต่อฟัน ไร้ความเคารพยำเกรง อนิจจา
กรรมเป็นเครื่องชี้เจตนา เราชาวพุทธต้องอดทน เข้มแข็งและสามัคคีกันไว้เพื่ออนาคตของพระพุทธศาสนาบนผืนแผ่นดินไทย พวกเราต้องช่วยกันรักษาพระศาสนาไว้เพื่อเป็นสมบัติสืบทอดไปสู่ลูกหลานรุ่นต่อๆ ไปของพวกเราตราบนานเท่านาน”
https://www.naewna.com/local/231921
————————————————
สืบเนื่องเรื่องจากที่รัฐบาลใช้อำนาจรัฏฐาธิปัตย์ประกาศใช้มาตรา ๔๔ จัดการกับปัญหาพระพุทธศาสนาที่หมักหมมสะสมมานาน
พร้อมทั้งจะทำการจัดระเบียบศาสนบุคคล ศาสนวัตถุให้สอดคล้องกับหลักคำสอนของพระศาสดาของแต่ละศาสนา โดยกำหนดหลักปฏิบัติอย่างเคร่งคัดออกมา ๕ ข้อ
หากจะวิเคราะห์กันตามเนื้อหาทั้ง ๕ ข้อแล้ว ไม่มีข้อไหนเลยที่ทำร้ายทำลายหลักการของแต่ละศาสนาเลย ตรงกันข้ามกับให้การสนับสนุน ส่งเสริม อุปถัมภ์ ต่อหลักธรรมคำสอนของพระศาสดาของแต่ละศาสนาอย่างเคร่งครัดเสียด้วยซ้ำไป โดยเฉพาะข้อที่ ๒, ๔, ๕
————————————————
ข้อ 2 ในการอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา โดยที่ประชาชนชาวไทยส่วนใหญ่ นับถือพระพุทธศาสนาตามแบบเถรวาทมาช้านานดังที่วัดวาอาราม พระภิกษุ การประกอบพิธีของทางราชการ บทสวดมนต์ การศึกษา การเผยแผ่ ตลอดจนการจัดการปกครองคณะสงฆ์ล้วนเป็นไปตามแบบเถรวาท มานานหลายศตวรรษ จึงให้หน่วยงานของรัฐส่งเสริมและสนับสนุนการศึกษา และการเผยแผ่หลักธรรม คําสอนที่ถูกต้องตามแนวทางดังกล่าว เพื่อให้เกิดการพัฒนาจิตใจและปัญญา สอดคล้องกับความเลื่อมใสศรัทธา ของผู้ที่นับถือศาสนาตามแบบนั้น ๆ โดยไม่ขัดต่อกฎหมาย
ในส่วนของการอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนาตามแบบมหายาน ไม่ว่าจะเป็นจีนนิกาย อนัมนิกาย หรืออื่นใด ซึ่งได้รับการอุปถัมภ์คุ้มครองจากรัฐตลอดมา ให้หน่วยงานของรัฐส่งเสริมและสนับสนุน การศึกษาและการเผยแผ่หลักธรรมคําสอนที่ถูกต้องตามแนวทางดังกล่าว เพื่อให้เกิดการพัฒนาจิตใจและปัญญา สอดคล้องกับความความเลื่อมใสศรัทธาของผู้ที่นับถือศาสนาตามแบบนั้น ๆ โดยไม่ขัดต่อกฎหมาย
ข้อ 4 ให้สํานักเลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงยุติธรรม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา สํานักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ ศูนย์อํานวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) สํานักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ สถาบันการศึกษา ด้านศาสนา องค์กรปกครองคณะสงฆ์ องค์กรทางศาสนาต่าง ๆ ที่ทางราชการรับรอง ร่วมกันกําหนดมาตรการ และกลไกในการส่งเสริมความเข้าใจอันดี และความสมานฉันท์ของศาสนิกชนของทุกศาสนา การนําหลักธรรม คําสอนทางศาสนามาปรับใช้ในชีวิตประจําวันในด้านต่าง ๆ เพื่อประโยชน์ในการปฏิรูปประเทศ เช่น การนําปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ การมีธรรมาภิบาล ความซื่อสัตย์สุจริต ความสามัคคีปรองดอง การสร้างสังคมสันติสุข และกําหนดมาตรการและกลไกในการป้องกันมิให้มีการบ่อนทําลายพระพุทธศาสนา และศาสนาอื่นดังกล่าวใน ข้อ 3 ตลอดจนการสร้างความรับรู้ความเข้าใจแก่ชาวต่างชาติเกี่ยวกับข้อพึงปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติในเรื่องทางศาสนาต่าง ๆ ในประเทศไทย แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีภายในสามเดือน
ข้อ 5 ให้สํานักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ และกรมการศาสนารายงานความก้าวหน้า ในการดําเนินการตามคําสั่งนี้ พร้อมทั้งปัญหาและอุปสรรค ตลอดจนแนวทางแก้ไขให้นายกรัฐมนตรีทราบ ทุกสามเดือน
————————————————
เมื่อได้อ่านข้อบังคับโดยละเอียด ท่านทั้งหลายจะเห็นได้ว่า
ไม่ได้มีเนื้อหาใดเลยที่ทำให้พระธรรมวินัยอันเป็นหลักการสำคัญของพระพุทธศาสนาเสียหาย อีกทั้งยังให้การคุ้มครองเพื่อธำรงรักษาไว้ซึ่งความบริสุทธิ์บริบูรณ์ของพระธรรมวินัยเสียด้วยซ้ำ
แต่ทำไมเฮียประสารแกถึงได้ดูจะทุรนทุรายเดือดร้อนจัง
จากการอ่านบทความที่เฮียแกลงโพสต์ลงในเฟซบุ๊กส่วนตัวแกแล้ว พอจับประเด็นหลักๆ ได้ว่าแก
– เรียกร้องให้รัฐออกกฎหมายนมัสการสังเวชนียสถานที่ประเทศอินเดียทั้ง ๔ แห่ง
– ออกกฎหมายธนาคารพระพุทธศาสนา
– ออกกฎหมายคุ้มครองพระพุทธศาสนา
แถมเฮียแกยังละเมอออกมาเหมือนเดิมว่า
การเสนอนามสมเด็จพระราชาคณะเพื่อเสนอโปรดเกล้าสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่ เป็นเรื่องสำคัญ ไม่เห็นรัฐบาลจะมีท่าทีโอนอ่อนใส่ใจเลย ไม่เหมือนกรณีเร่งรัดใช้มาตรา ๔๔ นอกจากจะเป็นท่าทีแข็งกร้าว ตาต่อตา ฟันต่อฟัน ไร้ความเคารพยำเกรง อนิจจา
นี่คือถ้อยคำที่เฮียแกเขียนโพสต์ระบายมาอย่างน่าเวทนา
แถมเฮียแกยังโอดครวญว่า กรรมเป็นเครื่องส่อเจตนา เราชาวพุทธต้องอดทน เข้มแข็งและสามัคคีกันไว้เพื่อ อนาคตของพระพุทธศาสนาบนแผ่นดินไทยรุ่นต่อๆ ไปของพวกเราตราบนานเท่านาน
และที่เฮียแกเดือดานก็คือ ในคำสั่งม.๔๔นี้สั่งให้ศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทยของพวกเฮียจะต้องรายงานกิจกรรม ประวัติ และความเป็นมาโดยละเอียด เพื่อส่งให้หน่วยงานของรัฐโดยด่วน
โดยให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเป็นผู้รวบรวมรายงานนั้นส่งถึงมือนายกรัฐมนตรีโดยตรงทุก ๓ เดือน
นี่แหละคือประเด็นที่เฮียและพวกแกรับไม่ได้
ถึงขนาดออกมาโอดครวญอย่างที่เห็น
และพุทธะอิสระจะช่วยพวกเฮียอย่างไรดีล่ะนี่
หรือจะให้ช่วยเรียกแขกเชียร์เฮียให้ออกมาเจริญมนต์ตามสไตล์ที่ถนัดกันอีกซักครา แหม๋…รู้สึกเกรงใจลุงตู่แกเสียด้วยซิ
ไม่รู้ว่าจะช่วยเฮียอย่างไร ก็เอาที่เฮียถนัดและสบายใจก็แล้วกันนะเฮีย
ส่วนประเด็นที่เฮียเรียกร้องให้ออกกฎหมายส่งพระและฆราวาสไปนมัสการสังเวชนียสถานที่ประเทศอินเดียนั้น
พุทธะอิสระก็เห็นด้วยนะ แต่ใครจะรับประกันว่าสิทธินั้นจะบังเกิดแก่พระภิกษุสงฆ์ทุกรูป และพุทธบริษัททุกคน
เพราะเท่าที่ทราบ ปัจจุบันนี้สำนักพุทธหรือกรมการศาสนาก็มีงบประมาณสนับสนุนให้ภิกษุสามเณรและพุทธบริษัทเดินทางไปนมัสการสังเวชนียสถานในประเทศอินเดียอยู่แล้ว
แต่เท่าที่เห็นก็มีแต่พวกเฮียและวงศาคณาญาติของพวกเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องเท่านั้นที่ได้ไป
ส่วนหลวงพี่หลวงตา ยายมียายมาตามชนบทวัดบ้านนอกเคยมีโอกาสได้ใช้งบนี้กับเขาบ้างหรือเปล่า เฮียเองก็น่ารู้อยู่แก่ใจ
ส่วนประเด็นที่เฮียเรียกร้องให้ออกกฎหมายจัดตั้งธนาคารพุทธศาสนานั้น
ขอถามเฮียว่า มันเกี่ยวอะไรกับพระธรรมวินัยนี้ด้วยหรือ
หรือพวกเฮียจะไปนั่งเป็นผู้จัดการธนาคารกันเอง
หรือจะส่งคนใกล้ชิดเข้าไปนั่งบริหาร
หรือเฮียจะเอาอย่างธนาคารอิสลามที่กำลังจะเจ๊งแหล่ไม่เจ๊งแหล่ จนต้องเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟู
แล้วเฮียรู้ไหมว่ารัฐต้องเอาเงินจากไหนมา ก็เงินภาษีประชาชนทุกคนไง
เฮียไม่เคยถามพุทธบริษัทที่เขาเสียภาษีดูหน่อยว่าเขาจะยินยอมให้พวกเฮียตั้งธนาคารพุทธไหม
สำหรับประเด็นที่เฮียเรียกร้องว่าให้ออกกฎหมายคุ้มครองพระพุทธศาสนา
แล้วไอ้ที่คุณมีชัยเขาเขียนพรบ.คุ้มครองพระพุทธศาสนานิกายเถรวาทในมาตรา ๖๗ ไว้ในรัฐธรรมนูญนี้ เฮียยังไม่พอใจอีกหรือ
หรือเฮียจะให้เขียนตรงๆ ไปเลยว่า ให้ออกกฎหมายคุ้มครองอลัชชีไปด้วย จะเอาอย่างนั้นใช่ไหมเฮีย
พุทธะอิสระ