“ธรรมกาย” ยอมคืน 140 ไร่ “เวิล์ดพีซ วัลเลย์ เขาใหญ่”
สาขาวัดพระธรรมกาย “เวิล์ดพีซ วัลเลย์ เขาใหญ่” จำนนต่อหลักฐานครอบครองที่ดินไม่มีเอกสารสิทธิ ยอมคืน 140 ไร่ ให้นิคมสร้างตนเองลำตะคอง
หลังผู้ดูแลศูนย์ปฏิบัติธรรมเวิลด์พีซ วัลเล่ย์ เขาใหญ่ จ.นครราชสีมา หนึ่งในสาขาของวัดพระธรรมกาย ไม่สามารถนำเอกสารสิทธิการครอบครองที่ดินอย่างถูกกฎหมายมาแสดงต่อกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.)ได้
นายณรงค์ คงคำ รองอธิบดีกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ (พส.) กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เปิดเผยว่า ศูนย์ปฏิบัติธรรมเวิลด์พีซ วัลเล่ย์ เขาใหญ่ ยินยอมที่จะคืนที่ดิน จำนวน 140 ไร่ ให้กับนิคมสร้างตนเองลำตะคองแล้ว หลังจากที่ไม่สามารถแสดงเอกสารสิทธิการครอบครองอย่างถูกต้อง โดยมีเพียง ใบเสียภาษีที่ดิน หรือ ภทบ.5 เท่านั้น
พม.จึงได้ส่งหนังสือแจ้งเรียกที่ดินดังกล่าวคืน โดยสัปดาห์หน้ารองอธิบดีกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการฯ พร้อมเจ้าหน้าที่รังวัดที่ดินจะลงไปยังพื้นที่ เพื่อปักแนวเขตเป็นพื้นที่สงวนเพื่อกิจการนิคมต่อไป
ด้านนายองอาจ ธรรมนิทรา โฆษกศิษยานุศิษย์ วัดพระธรรมกาย เปิดเผยว่า เรื่องดังกล่าว อยู่ระหว่างการตรวจสอบข้อมูล
ที่มา : https://www.komchadluek.net/news/regional/237358
————————————————
อีกทั้งวันอังคารที่ ๑๖ ส.ค. เวลา ๑๖.๐๐ น. โฆษกของลัทธิทำจนกลายได้ออกแถลงการณ์แก้ตัวให้กับสำนักสารพัดวิธี
ทำแม้กระทั่งพยายามแหกตา แถกแถ โกหกสังคมว่าที่ดินผืนนั้นเจ้าลัทธิได้มอบให้เป็นที่ธรณีสงฆ์ไปตั้งแต่ปี ๕๕ แล้ว เจ้าลัทธิของพวกเขาจึงไม่ผิด
นอกจากจะออกแถลงข่าวแก้ตัวแล้ว ยังให้พวกลิ่วล้อหูดทำจนกลายลงเฟสแหกตาสาวกให้หลงเชื่อว่าเจ้าลัทธิไม่ผิด เจ้าลัทธิถูกใส่ร้ายกลั่นแกล้ง
แถมยังอ้างว่าถ้ารัฐบาลยึดคืนผืนป่าจากลัทธิทำจนกลายได้ ต่อไปก็ต้องยึดคืนจากวัดป่าทั่วประเทศ เพื่อปลุกกระแสต่อต้านรัฐบาลคสช.ให้เกิดขึ้นในวงการผ้าเหลือง
ซึ่งฉันกำลังสั่งให้ทีมงานรวบรวมพยานหลักฐาน เอาไปใช้แจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษแก่พวกหูดทำจนกลายพวกนี้ในข้อหายุยงปลุกปั่น ก่อความไม่สงบภายในราชอาณาจักร
อยากจะบอกพวกสาวกทำจนกลายว่า การที่ศาลเขาจะออกหมายจับใครซักคนนั้น ศาลท่านต้องพิจารณาพยานหลักฐานก่อนว่ามีมูลความจริงแค่ไหน ไม่ใช่ว่าพนักงานสอบสวนจะขอหมายจับต่อศาลและศาลจะอนุมัติออกหมายตามคำขอเสมอไป
ฉะนั้นคดีนี้ศาลจังหวัดเลยได้อนุมัติหมายจับเจ้าลัทธิทำจนกลายในวันที่ ๑๕ ส.ค. ๕๙ เลขที่ ๑๗๔/๕๙ และ ๑๗๕/๕๙ ในความผิดข้อหาบุกรุกครอบครองแผ้วถางป่าสงวน โดยมีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน ๕ ปี ปรับไม่เกิน ๕๐,๐๐๐ บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ส่วนคดีแพ่งที่ทำลายสิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศ เดี๋ยวกรมป่าไม้ซึ่งเป็นผู้เสียหายโดยตรงคงจะต้องไปว่ากันอีกที
และเท่าที่ทราบข้อมูล ธัมมชโยกับพวกได้เข้าไปยึดครอบครองป่าสงวนผืนนี้ตั้งแต่ปี ๓๙-๔๐ แล้ว โดยให้บริวารไปเจรจากว้านซื้อจากชาวบ้านทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าเป็นป่าสงวน
แล้วก็ใช้เส้นสายบารมีทางการเมืองบีบให้เจ้าหน้าที่ที่ดินและผู้เกี่ยวข้อง รางวัดปักหมุด ออกเอกสารสิทธิ์ในชื่อของเจ้าลัทธิตั้งแต่ปี ๔๑-๔๒
ขณะเดินหน้าทำเอกสารสิทธิ์ก็ให้บริวารเข้าไปแผ้วถางปรับเปลี่ยนระบบนิเวศเพื่อปลูกสิ่งก่อสร้างอาคารโรงเรือน
ฉะนั้นการที่สาวกเจ้าลัทธิออกมาแก้ตัวว่า เจ้าลัทธิอลัชชีไม่มีความผิดนั้นมันฟังไม่ขึ้น
เพราะพฤติกรรมการครอบครองและยึดถือเป็นกรรมสิทธิ์ของเจ้าลัทธิมันครบองค์ประกอบของกฎหมาย พรบ.ป่าไม้ พ.ศ. ๒๕๔๙ มาตรา ๙ และ ๑๐๘ ทวิ และผิดกฎหมายที่ดิน พ.ศ. ๒๔๙๗ ที่ออกเอกสารเท็จ รวมทั้งผิดพรบ.ป่าสงวน พ.ศ.๒๕๐๗ มาตรา ๑๔ อีกด้วย
เรียกว่าความผิดมันสมบูรณ์ไปตั้งแต่ปี ๔๐ ถึงปี ๕๕ นั่นแล้ว
ส่วนที่สาวกเจ้าลัทธิออกมาพยายามแถกแถว่าเจ้าลัทธิได้โอนที่ดินแปลงนี้จำนวน ๑๒๙ ไร่ ให้เป็นที่ธรณีสงฆ์ไปแล้วตั้งแต่ปี ๕๕ ก็ไม่สามารถปฏิเสธความผิดที่สำเร็จมาตั้งแต่ปีมะโว้โน่นแล้วได้
ส่วนที่บอกว่าโอนให้เป็นที่ธรณีสงฆ์ไปแล้วทำไมถึงได้ผิด
อยากบอกว่า ของผิดกฎหมายหรือของโจรไม่ว่าจะโอนให้ใครซักกี่ร้อยครั้งมันก็ยังผิดกฎหมาย เป็นของโจรอยู่ดี อย่ามาอ้างว่าโอนให้เป็นสมบัติของสงฆ์แล้วไม่ผิด
จะพูดอะไรทำไมไม่รู้จักหาข้อมูล หรือรู้ทั้งรู้แต่อยากโกหกเพื่อเอาตัวรอด ส่วนที่บอกว่ามีการส่งมอบที่ดินให้แก่รัฐแล้วก็น่าจะไม่ผิด
นี่จะกลับมาใช้มุขเก่ากันอีกแล้วใช่ไหม คือคืนให้แล้วจบๆ กันไป คดีความก็ถอนๆ กันไป จะเล่นกันแบบนี้อีกใช่ไหม
พุทธะอิสระขอบอกว่า นั่นมันยุคทมิฬถิ่นลัทธิประชาธิปไตย
แต่ยุคนี้เป็นยุคธรรมาธิปไตย รัฐบาลคสช.เขายึดหลักกฎหมายและความถูกต้องเป็นเกณฑ์
ไม่ใช่ยึดถือพวกพ้องหรือตัวบุคคลเป็นใหญ่
เอาเป็นว่าหากงานนี้มีมวยล้มต้มคนดู
พุทธะอิสระจะเป็นผู้เดินออกไปแจ้งความเอาผิดทั้งเจ้าหน้าที่และผู้บุกรุกด้วยตัวเองเลย
ขอบอก
พุทธะอิสระ