ธรรมใดเกิดแต่เหตุ พระศาสดาทรงแสดงเหตุและความดับเหตุแห่งธรรมนั้น

0
308

มีคนมาบ่นให้ฟังว่าเป็นแฟนคลับฉันทางเฟซบุ๊ก คอยติดตามบทความและคลิปภาพเสียงที่ออก เขาจึงถามว่า

สิ่งที่ฉันนำเสนอ บางครั้งก็ทำให้เขาขำ บางวันก็คิด บางทีก็เกลียด บางโอกาสก็เบิกบานสบายใจ

จะทำอย่างไรไม่ให้จิตต้องกระเพื่อม

ฉันตอบเขาว่า มีอยู่ ๒ วิธี

ปิดทวารทั้ง ๕ คือ ปิดตา ปิดหู ปิดจมูก ปิดปาก ปิดกาย

นี่คือวิธีของคนที่ไม่อยากยุ่ง ไม่อยากเจอปัญหา ไม่อยากใส่ใจ ธุระไม่ใช่ หาความปลอดภัยสบายใจใส่ตัวดีกว่า

วิธีนี้หากจะยึดตามพระปัจฉิมโอวาทของพระบรมศาสดา ที่ทรงประทานไว้ว่า

ภิกษุทั้งหลาย สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา เธอทั้งหลายจงยังประโยชน์ตนและประโยชน์ท่านด้วยความไม่ประมาทเถิด

หากปฏิบัติตามพระปัจฉิมวาจานี้

การปิดหู ปิดตา ไม่สนใจสิ่งรอบข้าง สังคมรอบตัว เพราะกลัวลำบาก เช่นนี้ ก็ดูน่าจะเป็นคนเห็นแก่ตัว จิตใจคับแคบเกินไป ทั้งยังจะไม่สอดคล้องกับพระวาจาครั้งสุดท้ายขององค์พระบรมศาสดาทรงประทานไว้

แล้วจะทำอย่างไรที่เราไม่ต้องหนีปัญหาจากสังคมรอบข้างและสิ่งแวดล้อมรอบตัว

มีพระสุภาษิตขององค์พระบรมศาสดาทรงตรัสสอนเอาไว้ว่า

ธรรมใดเกิดแต่เหตุ พระศาสดาทรงแสดงเหตุและความดับเหตุแห่งธรรมนั้น

ด้วยพุทธสุภาษิต ท่านทั้งหลายจะเห็นว่า พระพุทธเจ้ามิได้สอนให้เราหนีปัญหา

แต่ทรงสอนให้พวกเราเข้าไปเรียนรู้ศึกษา วิจัย วิจารณ์ในปัญหานั้นให้แจ่มชัดด้วยสติปัญญา แล้วหาวิธีดับต้นเหตุแห่งปัญหานั้นให้สิ้นซากไม่เหลือเชื้อแห่งปัญหา

เหล่านี้คือวิธีแห่งศากยตระกูล ผู้กล้า ผู้องอาจ ผู้สามารถ ผู้มีปัญญา
ดังบทโศลกที่ฉันสอนให้ชาวเวทีแจ้งวัฒนะได้ท่องว่า

หยิบแล้ววาง วางแล้วว่าง ดับแล้วเย็น

สรุปว่า ผู้มีปัญญาใช้กิเลส

คนโง่เท่านั้นที่ถูกกิเลสใช้

และวิถีแห่งปัญญาคือการเจริญวิปัสสนา เป็นสิ่งที่ไม่มีสอนในศาสนาอื่นด้วยวิถีแห่งวิปัสสนา

ทำให้เป็นผู้ฉลาดในจิต คือฉลาดในกาย

ผู้ฉลาดในจิต คือผู้ฉลาดในวาจา

ผู้ฉลาดในจิต คือผู้ฉลาดในพฤติกรรมและการกระทำ

ผู้ฉลาดในจิต คือผู้ฉลาดในตนเอง

ผู้ฉลาดในจิต คือผู้ฉลาดในโลก

พุทธะอิสระ