มีคนมาบ่นให้ฟังว่าเป็นแฟนคลับฉันทางเฟซบุ๊ก คอยติดตามบทความและคลิปภาพเสียงที่ออก เขาจึงถามว่า
สิ่งที่ฉันนำเสนอ บางครั้งก็ทำให้เขาขำ บางวันก็คิด บางทีก็เกลียด บางโอกาสก็เบิกบานสบายใจ
จะทำอย่างไรไม่ให้จิตต้องกระเพื่อม
ฉันตอบเขาว่า มีอยู่ ๒ วิธี
ปิดทวารทั้ง ๕ คือ ปิดตา ปิดหู ปิดจมูก ปิดปาก ปิดกาย
นี่คือวิธีของคนที่ไม่อยากยุ่ง ไม่อยากเจอปัญหา ไม่อยากใส่ใจ ธุระไม่ใช่ หาความปลอดภัยสบายใจใส่ตัวดีกว่า
วิธีนี้หากจะยึดตามพระปัจฉิมโอวาทของพระบรมศาสดา ที่ทรงประทานไว้ว่า
ภิกษุทั้งหลาย สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา เธอทั้งหลายจงยังประโยชน์ตนและประโยชน์ท่านด้วยความไม่ประมาทเถิด
หากปฏิบัติตามพระปัจฉิมวาจานี้
การปิดหู ปิดตา ไม่สนใจสิ่งรอบข้าง สังคมรอบตัว เพราะกลัวลำบาก เช่นนี้ ก็ดูน่าจะเป็นคนเห็นแก่ตัว จิตใจคับแคบเกินไป ทั้งยังจะไม่สอดคล้องกับพระวาจาครั้งสุดท้ายขององค์พระบรมศาสดาทรงประทานไว้
แล้วจะทำอย่างไรที่เราไม่ต้องหนีปัญหาจากสังคมรอบข้างและสิ่งแวดล้อมรอบตัว
มีพระสุภาษิตขององค์พระบรมศาสดาทรงตรัสสอนเอาไว้ว่า
ธรรมใดเกิดแต่เหตุ พระศาสดาทรงแสดงเหตุและความดับเหตุแห่งธรรมนั้น
ด้วยพุทธสุภาษิต ท่านทั้งหลายจะเห็นว่า พระพุทธเจ้ามิได้สอนให้เราหนีปัญหา
แต่ทรงสอนให้พวกเราเข้าไปเรียนรู้ศึกษา วิจัย วิจารณ์ในปัญหานั้นให้แจ่มชัดด้วยสติปัญญา แล้วหาวิธีดับต้นเหตุแห่งปัญหานั้นให้สิ้นซากไม่เหลือเชื้อแห่งปัญหา
เหล่านี้คือวิธีแห่งศากยตระกูล ผู้กล้า ผู้องอาจ ผู้สามารถ ผู้มีปัญญา
ดังบทโศลกที่ฉันสอนให้ชาวเวทีแจ้งวัฒนะได้ท่องว่า
หยิบแล้ววาง วางแล้วว่าง ดับแล้วเย็น
สรุปว่า ผู้มีปัญญาใช้กิเลส
คนโง่เท่านั้นที่ถูกกิเลสใช้
และวิถีแห่งปัญญาคือการเจริญวิปัสสนา เป็นสิ่งที่ไม่มีสอนในศาสนาอื่นด้วยวิถีแห่งวิปัสสนา
ทำให้เป็นผู้ฉลาดในจิต คือฉลาดในกาย
ผู้ฉลาดในจิต คือผู้ฉลาดในวาจา
ผู้ฉลาดในจิต คือผู้ฉลาดในพฤติกรรมและการกระทำ
ผู้ฉลาดในจิต คือผู้ฉลาดในตนเอง
ผู้ฉลาดในจิต คือผู้ฉลาดในโลก
พุทธะอิสระ